ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ความสัมพันธ์ไทย - จีน และ เศรษฐกิจเพื่อนบ้าน ย้อนกลับ
3 พฤศจิกา เฝ้ามองอเมริกา เห็นอนาคตจีน
22 ต.ค. 2563

โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

                                                   

3 พฤศจิกา เฝ้ามองอเมริกา เห็นอนาคตจีน

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีก่อนด้วยสโลแกน America Great Again สัญญาจะนำความยิ่งใหญ่กลับสู่สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง จนเป็นที่โดนใจชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ได้เข้านั่งทำเนียบขาวจนครบเทอมและกำลังเสนอตัวนั่งต่อในเทอมที่สอง

โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต ผู้ท้าชิงปีนี้หาเสียงด้วยสโลแกน  America Must Lead Again 

ไบเดนประกาศไว้เมื่อต้นปีว่า ถ้าเลือกเขาเป็นประธานาธิบดี เขาจะฟื้นคืนประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรทั้งหลาย จะปกป้องเศรษฐกิจอเมริกาและนำอเมริกากลับสู่ความเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง

ดูแล้วนโยบายของไบเดนก็ไม่ต่างอะไรกับทรัมป์ ผู้สมัครทั้งสองคนทั้งสองพรรคการเมืองต่างสะท้อนความรู้สึกของคนอเมริกันว่า สหรัฐอเมริกาได้สูญเสียความยิ่งใหญ่และความเป็นผู้นำของโลกไปแล้ว จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทวงคืน

เสียไปให้ใคร? จะทวงคืนจากใคร?

ใช่ครับ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” คือเป้าหมายใหญ่คือเป้าหมายร่วม คือคู่แข่งขันในเวทีโลกของอเมริกาที่ในช่วง2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้เติบโตอย่างรวดเร็วแทบทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร สังคม เทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้นำจีนอย่าง สี จิ้นผิง ที่กลายเป็นพญามังกรที่โดดเด่น จนบดบังพญาอินทรีให้กลายเป็นแค่อีแร้งไร้ราคา

ทรัมป์ใช้จีนเป็นเป้าล่อในการปลุกกระแสชาตินิยมต่อฐานเสียงชาวอเมริกันมาตั้งแต่ต้น และทำต่อเนื่องตลอด 4 ปี ด้วยนโยบายและวิธีปฏิบัติต่างๆ อาทิ การเปิดสงครามการค้ากับจีน สกัดกั้นเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย การออกกฎหมายมาจ้องเล่นงานบริษัทจีนที่จดทะเบียนระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฯลฯ แม้กระทั่งการออกวีซ่าแก่นักศึกษาจีนที่เข้าไปศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ของอเมริกา

ทรัมป์มองว่า 30 ปีที่ผ่าน จีนอาศัยกระแสโลกาภิวัตน์สร้างความแข็งแกร่งและความร่ำรวยแก่ชาวจีนหลายร้อยล้านคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และก้าวพ้นจากความยากจน ในขณะที่สหรัฐฯหยุดนิ่ง เสื่อมถอยและยากจนลง

                แล้วสรุปว่า...นั่นคือความผิดของจีน!

ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสร้างอารมณ์ความรู้สึกแก่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ให้ไว้วางใจจีนน้อยลง ยิ่งเมื่อเกิดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มต้นจากจีนแล้วถูกทรัมป์สุมไฟใส่สีตีไข่ว่า “หลุดจากแล็ปอู่ฮั่น” ก็ยิ่งทำให้ชาวอเมริกันเกือบ 3 ใน4 รู้สึกไม่ชอบจีน ในขณะที่กว่า 50% ยังต้องการให้อเมริกาสานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน นี่คือข้อมูลจากผลสำรวจที่ทำกันในอเมริกา

พรรคเดโมแครตเองก็รับรู้เรื่องนี้และไม่ปฏิเสธที่จะใช้จีนเป็นเป้าในการหาเสียงอย่างมีสมดุล ไบเดนบอกว่า จะใช้นโยบายการค้าที่ Free and Fair

ถ้าเขาจะเอาชนะ จีนก็คงไม่ใช่ใช้ความก้าวร้าว บีบบังคับ ฝืนกฎระเบียบสากล แต่ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรม การรวมพลังกับชาติพันธมิตรสู้กับจีนในด้านเศรษฐกิจ

จุดยืนของพรรคเดโมแครตที่ชัดเจน คือการให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง สิทธิมนุษยชนซึ่งประเด็นหลังนี่โยงถึงจีนอย่างชัดเจน เช่น กรณีชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ หรือการใช้เอไอตรวจสอบพฤติกรรมประชาชน

คามาลา แฮร์ริส ส.ว. อเมริกัน-เอเชียผิวสี คู่สมัครของไบเดนที่ลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เคยแสดงความเห็นว่า สงครามการค้าที่ทรัมป์สร้างขึ้นกำลังทำร้ายเกษตรกรชาวอเมริกัน กำลังฆาตกรรมตำแหน่งงานอเมริกัน และกำลังลงโทษผู้บริโภคชาวอเมริกัน สะท้อนถึงผลกระทบและความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของทรัมป์และพรรครีพับลิกัน

นักวิชาการที่ศึกษาความร่วมมือจีน-สหรัฐฯ เคยวิเคราะห์นโยบายของทรัมป์กับไบเดนว่า

ที่ผ่านมา ทรัมป์ใช้นโยบายที่กดดันสกัดกั้นการเติบโตของจีน หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง แรงกดดันและมาตรการอาจจะหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก โดยจะเน้นหนักในประเด็นทางศรษฐกิจ แต่ผลสะท้อนกลับที่ตามมาคือ เศรษฐกิจของอเมริกา ตลอดจนกลุ่มพันธมิตรตะวันตกที่มีการค้าการลงทุนเชื่อมโยงกับจีน ซึ่งหากยืดเยื้อในระยะยาวแล้วจีนน่าจะได้เปรียบมากกว่า 

สำหรับไบเดน หากได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีก็คงไม่เอาตัวเองมาติดกับดัก “สงครามการค้า” ที่ทรัมป์จุดชนวนเอาไว้ แต่ก็คงไม่เปลี่ยนนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที เพราะยังไงจีนก็คือคู่แข่งขันในเวทีโลกและเป็น “ตัวแย่งซีน”ความเป็นผู้นำโลก โดยเฉพาะ “สี จิ้นผิง” ที่ไบเดนเคยจับมือด้วยสมัยที่เขาเป็นรองประธานาธิบดีในรัฐบาลบารัก โอบามา

ไบเดนน่าจะยังใช้ประเด็นความขัดแย้งที่ทรัมป์สร้างไว้เป็นเครื่องมือต่อรองกับจีนต่อไปอย่างมีเหตุมีผล มีทั้งไม้อ่อน-ไม้แข็ง ทั้งทุบและนวดอย่างมีลีลา โดยอาศัยพันธมิตรและหุ้นส่วนของสหรัฐฯ คอยหนุนหลัง

รัฐบาลปักกิ่งจึงน่าจะพึงพอใจคู่ต่อสู้ที่มีความเป็นแบบแผนปกติอย่างไบเดนมากกว่าทรัมป์ที่เดาใจยากและบ้าคลั่ง

กล่าวถึงทรัมป์แล้ว การที่เขาและภรรยาติดเชื้อโควิด-19 ช่วงต้นเดือนตุลาคม จนต้องรีบทำการกักตัว ซึ่งส่งผลต่อการลงพื้นที่หาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ย่อมมีผลต่อคะแนนเสียงของพรรครีพับลิกัน และเป็นโอกาสทองของโจ ไบเดน กับพรรคเดโมแครตที่จะทำคะแนนมากยิ่งขึ้น

นาฬิกากำลังนับถอยหลังสู่วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่อเมริกันชนจะออกไปใช้สิทธิเลือกผู้นำคนเก่าหรือคนใหม่

ส่วนชาวจีนก็คงไม่ต้องลุ้นมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นทรัมป์คนเดิม หรือไบเดนคนใหม่ ยังไงเขาก็ไม่รักจีน

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...