ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
จักรกฤษณ์ ทองศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดบุรีรัมย์3 สมัย
30 ต.ค. 2563

จังหวัดบุรีรัมย์ นับเป็นจังหวัดใหญ่จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีประชากรมีจำนวนมากเป็นอันดับที่ 5 และมีพื้นที่กว้างเป็นอันดับที่ 17 ของประเทศไทย มีโบราณสถานสำคัญหลายแห่งสมัยอารยธรรมขอม เช่น พนมรุ้งและเมืองต่ำ จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สามารถทำรายให้กับประเทศด้วย นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีการจัดตั้งศูนย์กีฬาขนาดใหญ่ สนามแข่งรถ ฯลฯ เสริมความน่าสนใจเพิ่มเข้าไปอีกเพียบ

และเมื่อเป็นเมืองใหญ่สำคัญขนาดนี้ ย่อมต้องมีบุคคสำคัญๆ ที่คอยผลักดันให้เกิดความเจริญก้าวหน้าอยู่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการนักธุรกิจ และนักกการเมือง ซึ่งถ้าส่องเข้าไปดู ย่อมต้องเห็นตระกูล “ชิดชอบ” ไล่มาตั้งแต่ “ชัย ชิดชอบ” จนมาถึง “เนวิน ชิดชอบ”และ “ศักดิสยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อีกตระกูลหนึ่งที่จะคาดไปไม่ได้สำหรับคนบุรีรัมย์ ก็คือตระกูล “ทองศรี” เริ่มตั้งแต่ “เพิ่มพูน ทองศรี”ที่เคยเป็นทั้ง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บุรีรัมย์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บุรีรัมย์ หรือ “ทรงศักดิ์ ทองศรี”อดีต รับมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงคมนาคม ปัจจุบันรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และก็มาถึง “จักรกฤษณ์ ทองศรี”ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 7บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ที่ อปท.นิวส์เชิญเป็นแขกจะพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกันในฉบับนี้

ส.ส.จักรกฤษณ์ ทองศรีหรือที่เรียกถูกเรียกขานกันว่า“ส.ส.บีม” ไม่ใช่ ส.ส.หน้าใหม่ แต่ได้รับความไว้วางใจชาวบุรีรัมย์มาจัแล้วอย่างต่อเนื่อง มีดีกรีเป็น ส.ส.ของชาวบุรีรัมย์มาแล้วถึง 3 สมัย คือในปี 2552, 2554 และ 2562 จึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่า “ส.ส.บีม” ได้สร้างประโยชน์เป็นคุณูปการให้กับชาวบุรีรัมย์มาไม่น้อย ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และอดีตกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ สภาผู้แทนราษฎร มาอีกด้วย

“ส.ส.บีม” ในวัย 40 ปี เกิดเมื่อวันที่14 มกราคม 2523 เริ่มเล่าให้เราฟังว่า ด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด สมัยเด็กๆ จึงมีโอกาสย้ายไปเรียนอยู่หลายที่หลาลแห่งเหมือนกัน คือได้เล่าเรียนทั้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ มาที่โคราชแล้วก็ไปเรียนที่กรุงเทพฯ “ส.ส.บีม” ยอมรับว่า ในวัยเด็กก็มีชีวิตโลดโผนเหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไปอยู่เหมือนกัน คือมีทั้งเรียน กิน เที่ยว และก็มีแข่งรถอยู่บ้าง “ต้องยอมรับเลยว่ากว่าจะเข้ามาอยู่ในกรอบก็อายุย่างเข้าประมาณ 23-24 ปีแล้วก็เกือบหลุดกรอบอยู่เหมือนกันแต่ก็คิดได้มาใช้ชีวิตที่อยู่ในกรอบมากขึ้น”

สำหรับด้านการศึกษานั้น จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิติศาสตร์แล้วก็มาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่น 1 ที่บุรีรัมย์ พอจบมาก็ทำงานกับที่บ้านเกี่ยวกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยเป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งก็จะมีการประมูลงานกับภาครัฐ ทำอยู่ประมาณสัก 7-8 ปี โดยการทำงานธุรกิจของที่บ้านต้องเดินทางไปคุมงานด้วยตัวเองทั่วทุกจังหวัด ส.ส.บีมเราให้เราฟัง พร้อมกับบอกถึงการเข้าสู่แวดวงการเมืองว่า

“ครอบครัวของที่บ้านเล่นการเมืองเกือบทุกคนเลยและก็อยู่กับแวดวงการเมืองมาโดยตลอดตั้งแต่คุณพ่อที่เป็นอดีต ส.ส.กับส.ว. แล้วก็มาคุณอาทรงศักดิ์ ทองศรีคุณอารุ่งโรจน์ ทองศรี จึงได้ก้าวเข้ามาสู่แวดวงการเมืองด้วย”

ส.ส.บีม”เล่าให้ฟังด้วยว่า ระหว่างทำงานธุรกิจของที่บ้านกับการเข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน ซึ่งต้องมีการปรับตัวเพราะหลายๆอย่างเป็นทฤษฎีแต่พอมาปฎิบัติจริงจะมีความแตกต่างกัน โดย ส.ส.บีม ยอมรับว่า แม้ตอนเรียนจะเรียนนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและเป็นศาสตร์ทางการเมืองมาแล้วก็ตามแต่ก็ต้องเรียนรู้มากขึ้นและปรับตัว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เพราะตั้งแต่เด็กได้สัมผัสผ่านคนในครอบครัวที่เล่นการเมืองด้วยมาอยู่แล้วก็รู้สึกให้อยากทำงานด้านนี้โดยเข้าสู่สนามการเมืองเมื่อปี 2552ได้เห็นเรื่องราวหลายๆอย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะได้มาอยู่ในเหตุการณ์นั้นเช่น การรัฐประหาร

อย่างไรก็ตาม “ส.ส.บีม” บอกว่า การที่เขาเข้ามาเล่นการเมืองนั้นจะบอกเสมอว่า จะเข้ามาเป็นนักพัฒนา ซึ่งไม่ใช่คนพูดเก่งแต่จะเน้นเรื่องการทำงานเป็นหลัก และการเข้ามาสู่การเมืองก็ไม่มีความคิดว่าจะต้องไปทะเลาะกับใคร เหมือนเช่นการเมืองสมัยก่อนซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อคนหนึ่งโจมตีอีกคนหนึ่งก็จะออกมาสวนกลับกันไปมา ซึ่งตัวเขาไม่มีความคิดหรือแนวทางอะไรแบบนั้น โดยจะพูดแต่ความคิดนโยบายที่เป็นประโนชน์ให้กับประชาชนเท่านั้น

“คิดแต่เพียงว่าพอเราเข้ามาแล้วเราจะพัฒนาอะไรบ้าง เราจะไม่ตอบโต้อย่างเด็ดขาดเพราะการทะเลาะกันไม่ใช่สิ่งที่ดีวันนี้ถ้ามามัวแต่ทะเลาะกัน ถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้นภาพลักษณ์ของนักการเมือง ภาพลักษณ์ของ ส.ส. ประชาชนหรือชาวบ้านจะมีความรู้สึกเบื่อ เพราะงานไม่เดิน ที่มัวแต่มาทะเลาะกัน”ส.ส.บีม กล่าวในเราฟัง

ส.ส.บีม เล่าให้ฟังต่อว่า ครอบครัวของทำงานด้านการเมืองเป็นทีมและมีการพูดคุยกันตลอด ทุกๆคนสามารถลงไปหรือเข้าไปช่วยเหลือรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้เสมอ เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในครอบครัว ซึ่งทุกคนในครอบครัวรวมถึงตัวเขาก็เป็นคนทั่วๆไปที่เข้าถึงง่าย สนุกสนาน ใครต้องการให้ช่วยเหลือก็พร้อมที่จะช่วยเหลือตามความสามารถและกำลังที่มี และเป็นคนที่พร้อมจะให้อภัย ไม่อาฆาตซึ่งถ้าคนรู้จักจริงๆ จะรู้ว่าเป็นคนเข้าถึงง่าย ยิ้มง่าย ทุกคนที่สัมผัสกับจะรับรู้ได้ถึงส่วนนี้ได้

ส่วนเวลาว่างจากการทำงานหรือการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน “ส.ส.บีม” บอกว่า ชอบออกกำลังกาย เล่นแบดมินตัน เข้าฟิตเนส ส่วนใหญ่ก็จะไปกับเพื่อนๆส.ส.ด้วยกัน บางครั้งก็จะนั่งดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือ แต่ด้วยการทำงานและการทำหน้าที่เวลาว่างจึงแทบไม่ค่อยมี ดังนั้นกิจกรรมเหล่านึ้งมีไม่ค่อยมากนักหรือถ้าจะมีก็จะไปกันหลังประชุมสภาฯ เสร็จ ซึ่ง“ส.ส.บีม” ยอมรับว่า การจัดสรรเวลาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ

หลายครั้งฟังคนที่ชอบพูดว่าทำนู่นทำนี่ไม่ทัน แต่จริงๆแล้วเวลาของคนเราเท่ากันทุกคน ซึ่งถ้าเรารู้ว่าเรามีหน้าที่มีภารกิจที่ต้องทำมาก ผมก็จะจัดสรรเวลาด้วยการที่ตื่นเช้าขึ้น ซึ่งก็จะตื่นตั้งแต่ 04.30 น.อาบน้ำ แปรงฟัน ออกกำลังกาย และที่สำคัญต้องทานอาหารเช้า ซึ่งการที่เป็นคนตื่นเช้าก็จะมีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งต่างๆได้เร็วกว่าคนอื่น โดยเฉพาะถ้าในกรุงเทพฯด้วยแล้วนั้น การที่ตื่นเช้าและออกไปทำงานเช้าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ไม่ต้องไปเสียเวลารถติดอยู่บนท้องถนนนี่คือสิ่งที่ตนให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการจัดสรรเวลาเพื่อทำหน้าที่และทำงานให้ดีที่สุด“ส.ส.บีม” กล่าวให้เราฟังในท้ายสุด

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...