ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ภิมุขสิมะโรจน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัสโก้ จำกัด(มหาชน)
16 มี.ค. 2564

พูดถึงวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้นก็คงมีลีลาที่แตกต่างกันไป บ้างก็เดินไปอย่างเรียบง่ายก็มี บ้างก็มีลีลาชีวิตที่พลิกผันไปมาแต่ก็ใช้ความรู้ความสามารถ ความอดทน และความจริงใจต่อการทำหน้าที่อย่างจิงจัง จนประสบความสำเร็จ ซึ่งอย่างหลังนี้เองซึ่งอย่างหลังนี้น่าสนใจ เพราะหลายคนอาจหยิบเอาไปเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นเข็มชี้ทิศทางให้ก้าวเดินไปได้อย่างมั่นใจ

โดย อปท.นิวส์เชิญเป็นแขกฉบับนี้ จะพาท่านผู้อ่านมารู้จักกับบุคคลผู้หนึ่งที่มีลีลาชีวิตไม่ผิดกับที่กล่าวมาข้างต้น จากครอบครัวมีอันจะกิน ปรารถนาจะทำงานการเมืองเพื่อสังคมที่ก้าวหน้า กระโจนเข้าสู่การเมืองด้วยตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตบางพลัด พรรคไทยรักไทย แต่ก็ต้องหยุดชงัก จนต้องผกผันมาทำงานองค์กรรัฐอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะย้อนกลับมาดูแลธุรกิจน้ำมันของครอบครัวจนกล้าแกร่ง แต่ด้วยงานการเมืองที่ใฝ่ฝันไว้ วันนี้จึงมีชื่อเป็น 1 ในรองหัวหน้า “พรรคกล้า” พรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ และบุคคลผู้นี้ก็คือ “ภิมุข สิมะโรจน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัสโก้ จำกัด(มหาชน) หรือ“คุณเอ้”นั่นเอง

คุณเอ้ ด้วยวัย 50 ย่าง 51 ปี ได้เริ่มเล่าถึงไลฟ์สไตล์และประวัติส่วนตัวให้ฟังว่า ตอนมัธยมต้นเรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล แล้วพอมามัธยมปลายก็ไปต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดม จากนั้นก็สอบเทียบไปเข้าวิศวะที่พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พอจบมาก็ทำงานคุมสร้างสนามกอล์ฟเขาเขียว จังหวัดชลบุรี โดยกินนอนอยู่ที่นั่นปีกว่า หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาด้านบริหารการจัดการ ซึ่งจริงๆแล้ว คุณเอ้ บอกว่า เคยคิดอยากเริ่มทำงานรับราชการก่อน แต่พอช่วงจะเรียนปริญญาตรีคุณพ่อได้ผันตัวเองจากรับราชการมาทำธุรกิจซึ่งก็ถามตัวเองในขณะที่เป็นลูกคนโตว่าจะได้ทำงานราชการหรือไม่ เพราะคงต้องมาช่วยทำงานของครอบครัว ดังนั้นตอนเรียนปริญญาโทจึงเลือกเรียนเอ็มบีเอ (MBA)

คุณเอ้ เล่าต่อไปว่า พอเรียนจบกลับมาเมืองไทยก็คิดว่าคงไม่ได้ไปรับราชการแน่ เพราะราชการต้องอยู่นาน ทำเพียง 1-2 ปีก็ไม่ได้อะไร เลยเลือกไปหาประสบการณ์ คือเริ่มทำงานองค์กรที่ก่ำกึ่งระหว่างราชการกับเอกชนก็คือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแบงค์ภาครัฐตั้งขึ้นมาในการดูแลปล่อยสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับประเทศ ทำไปและเรียนรู้ไปสักพักหนึ่งปรากฎว่าไม่นานก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ธุรกิจครอบครัวก็โดนผลกระทบหนักเช่นกัน

“ผมเองในตอนนั้นอายุประมาณ 26 ก็รู้ตัวและตัดสินใจมาช่วยงานของครอบครัวดีกว่า แม้ใจอยากจะทำงานหาประสบการณ์สักพักก่อน ตอนนั้นผมต้องพยายามอย่างมากที่จะแก้ปัญหาและฟื้นธุรกิจให้ได้ เราไม่มีเวลามาเริ่มงานเล็กๆน้อยๆเรียนรู้แบบในตำราที่ลูกเจ้าของทำแล้วจะดูดี เพราะปัญหามันไม่รอเราขนาดนั้น ผมได้ขอให้คุณพ่อซึ่งเป็นประธานควบตำแหน่งผู้จัดการแทนเพื่อนท่านที่ทำอยู่ เพราะเวลาวิกฤติ ผมมองว่าต้องให้คนที่มีส่วนได้เสียสูงสุดเป็นคนตัดสินใจ และผมเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ เพื่อเตรียมข้อมูล หาทางออกและชงเรื่องต่างๆให้”

“ช่วงนั้นก็คงคล้ายๆทุกคนที่จมอยู่กับการแก้ปัญหา ผมไม่อยากให้เวลามันหมดไปแบบนั้นหลังเลิกงานจึงแบ่งเวลาไปเรียนปริญญาโทภาคค่ำอีกใบ เรียนเกี่ยวกับการบริหารและนโยบายสาธารณะ ที่จุฬาฯ เพราะอยากได้มุมมองที่ครอบคลุมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เผื่อได้ใช้ในอนาคตหากมีโอกาสทำงานสาธารณะอย่างที่เคยคิดด้วย ผ่านไป3-4ปี ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจและเจรจากับเจ้าหนี้ จนเริ่มมีทางออกบ้างเรียกว่าพอจะพ้นน้ำ เหลืองานธุรกิจที่ต้องดำเนินไปซึ่งคนที่บริษัทก็ทำกันตามปกติได้แล้ว” คุณเอ้ เล่าให้ฟัง พร้อมกับบอกต่อไปว่า

ช่วงนั้นประเทศก็มีการเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ เรียกกันว่า“ฉบับประชาชน”คือสังคมอยากเห็นการเมืองแบบใหม่สร้างสรรค์ เพื่อมาแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งตัวคุณเอ้เองก็ติดตามอย่างสนใจ โดยบอกว่า หากไม่ได้ทำราชการแล้ว ถ้าจะทำงานสาธารณะคงต้องงานการเมืองซึ่งจากแค่ติดตามจนไปถึงเข้าร่วมฟังสัมมนาเรื่อง SME และทางออกประเทศของ“พรรคไทยรักไทย”ที่เพิ่งตั้งขึ้นในเวลานั้น รู้สึกชอบแนวทางการเมืองและนโยบายต่างๆที่นำเสนอ

จากนั้นก็เริ่มหาคนรู้จักเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ สุดท้ายขออาสาดูแลประสานงานเรื่องต่างๆในเขตบางพลัดซึ่งเป็นเขตที่บ้าน เพราะโตที่นี่และอยู่ที่นี่มาซึ่งพอจะรู้ปัญหาและอยากเริ่มอะไรที่เป็นเรื่องใกล้ตัวก่อน คุณเอ้ บอกว่า จังหวะชีวิตไหลไปเรื่อยจนได้เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตบางพลัดในนามพรรคไทยรักไทยและได้รับเลือกตั้งในปี 2544 อายุตอนนั้น 30ปีพอดี เรียกว่าเป็น ส.ส.ชุดแรกที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและเป็นสภาชุดแรกที่อยู่ครบ 4 ปีด้วย

อย่างไรก็ตาม พอมาปี 2548 ก็ได้รับเลือกอีกสมัย จากนั้นก็เกิดปัญหาขัดแย้งทางการเมืองขึ้นมาจนเกิดปฎิวัติรัฐประหารซึ่งคุณเอ้ บอกว่า คิดว่าไม่น่าจะมีแล้วในยุคสมัยนี้ พวกผู้แทนก็ตกงานกะทันหันว่างยาวเลย ตัวคุณเอ้เองก็มีความรู้สึกว่าการเมืองแบบนี้ไม่ไหวเพราะตอนนั้นก็คนรุ่นใหม่อยากทำงานอยากเดินไปข้างหน้า พอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกว่าถูกปิดโอกาส บรรยากาศโดยรวมก็ชักไม่สร้างสรรค์แล้ว และส่วนตัวก็ไม่คุ้นชินกับการเมืองแบบนี้และไม่อยากปรับตัวด้วย แต่ก็ยังมีความหวังว่าเดี๋ยวคงผ่านไป การเมืองดีๆก็คงกลับมา แล้วค่อยอาสาตัวใหม่ ตอนนี้ขอเว้นวรรคไปทำอย่างอื่นก่อน

คุณเอ้ เล่าต่ออีกว่า จังหวะนั้นจะมีการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา จึงตัดสินใจไปช่วยดูเรื่องนโยบายให้ทีม คุณอิทธิพล คุณปลื้ม จนได้รับเลือกเป็นนายกเมืองพัทยาก็เป็นที่ปรึกษานายกเมืองพัทยา ช่วยดูการพัฒนาด้านต่างๆให้กับเมือง ทำไปสักพักการเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก คือรัฐมนตรี สุวิทย์ คุณกิตติ ได้ชวนให้มาช่วยงานที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

“ผมเห็นว่าน่าสนใจ แต่ได้คุยกับท่านว่าจะขอทำงานที่เกี่ยวกับส่วนของราชการเพียงอย่างเดียว เรื่องการเมืองต่างๆไม่อยากยุ่งมาก ก็เลยไปเป็นที่ปรึกษากระทรวงฯ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ถือว่าเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ได้ทำงานบริหารราชการจริงๆตามที่เคยคิดเอาไว้ในวัยเด็ก”

 

“ตอนนั้นลุยและสนุกกับงานมาก ท่านรัฐมนตรีก็มอบหมายให้โอกาสเราในการทำงานอย่างมากทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า และเรื่องอื่นๆ สุดท้ายทำได้ประมาณ 3 ปี จังหวะชีวิตก็เปลี่ยนอีก เนื่องจากผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ฯ เกษียณอายุ นั่งคิดๆเราเองก็ทำงานกระทรวงฯ ในภาพรวมมาพอสมควรแล้ว หากได้ลงไปทำรายละเอียดขับเคลื่อนองค์การรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องก็น่าสนใจดี งานการเมืองเราก็ยังไม่คิดจะไปต่อ ไหนๆแล้วก็เลยคุยกับรัฐมนตรีขอลาจากผู้ช่วยรัฐมนตรีเพื่อไปสมัครเป็นผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ฯ”

คุณเอ้ยังเล่าต่อด้วยว่าหลังจากมีโอกาสได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่ ซึ่งเป็นอีกงานที่สนุกและท้าทายมาก ทำได้ไม่นานก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ต้องทำเรื่องย้ายสัตว์ ซึ่งตัวคุณเอ้ได้จัดตั้งศูนย์รณรงค์ช่วยเหลือสัตว์ป่าทั่วประเทศขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์การทำงานที่ไม่เคยเจอในการไปช่วยสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ ขณะที่บางทีสังคมก็ไม่เคยทราบมาก่อน ทำงานลุยงานได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนรัฐบาลและมีการเปลี่ยนบอร์ดใหม่ และสุดท้ายก็มีการเลิกจ้างเพราะบอร์ดก็อยากให้คนของเขาเข้ามาทำหน้าที่แทน “ผมเองก็พยายามที่จะบอกว่าผมอาสามาทำงานไม่ได้มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เข้ามาทำเพราะอยากทำและอยากพัฒนาสวนสัตว์ แต่สุดท้ายเมื่อบอร์ดเขาตัดสินใจเปลี่ยนเราก็ต้องรับ”

“ตอนนั้นผมก็เริ่มคิดและปลงกับงานสาธารณะเพราะการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องไปหมด เลยคิดว่าที่เคยคิดเคยฝันอยากทำงานราชการ งานการเมือง งานสาธารณะ มันก็ได้ทำมาพอสมควรแล้ว ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสแบบนี้ เลยคิดว่าขอพักขอหยุดตัวเองตรงนี้ก่อนดีกว่า รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่เราตั้งใจอยากจะทำ แต่บางทีมันก็มีปัจจัยอื่นมากมายที่เราควบคุมไม่ได้”

                คุณเอ้ เล่าให้ฟังต่อว่า พอมีความรู้สึกแบบนั้นก็คิดว่าจะกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวอีกครั้ง กลับมาดูแลเรื่องใกล้ตัวก่อน ซึ่งพอกลับมาดูงานของ“ซัสโก้”ได้ไม่นาน ปรากฏว่า“ปิโตรนาส”ในเมืองไทย ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันของมาเลเซียที่แต่ก่อนเป็น Q8 อยากจะหาคนมาเทคโอเวอร์ให้รับไปดูแลปั้มที่มีอยู่96 แห่งและกิจการที่เกี่ยวข้องต่อ ซึ่งตอนแรกที่บริษัทก็ลังเลเนื่องจากดูแล้วต้องลงทุนสูงมากและเกรงว่าจะไม่มีคนช่วยบริหาร คุณเอ้เลยอาสาตัวเป็นหัวหน้าทีมเข้าประมูลครั้งนี้ ซึ่งต้องเดินทางไปมาไทยและมาเลเซียเป็นว่าเล่น ซึ่งสุดท้ายชนะประมูล

“ผมก็นั่งทำงานที่สำนักงานปิโตรนาส ใช้เวลา2ปีกว่าจนทำเรื่องควบรวมกิจการเรียบร้อยในที่สุด และย้ายพนักงานมารวมกับสำนักงานใหญ่ซัสโก้ เราได้นำโมเดลของปิโตรนาสมาเป็นตัวอย่างผสมกับโมเดลของซัสโก้ หาจุดลงตัวที่เหมาะสมและก็ค่อยๆพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน”

สำหรับบุคลิกอุปนิสัยส่วนตัวของคุณเอ้นั้น ทีมงานต้องบอกเลยว่าเป็นคนที่สุภาพ หน้าตาดี ถือเป็นขวัญใจของใครหลายๆคนได้เลยทีเดียว ซึ่งคุณเอ้ก็ถ่อมตนและบอกกับทีมงานว่า เป็นคนสบายๆ อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย (แต่ตื่นยาก..อ้าว55) คุณเอ้เป็นคนหนึ่งที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี ไม่ยึดติดหัวโขนใดๆ พยายามรับผิดชอบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด

ส่วนงานอดิเรกชอบเล่นกอล์ฟ คุณเอ้บอกเลยว่า เรียกว่าบ้าก็ได้ไม่ใช่แค่ชอบ เป็นคนชอบดูหนังโรงมาก แต่หลังๆพอเริ่มหนุ่มเหลือน้อยก็พยายามวิ่งบ้าง อีกเรื่องที่พยายามกลับมาเป็นงานอดิเรกใหม่ก็คือเล่นกีต้าร์ซึ่งไม่ได้เล่นนานแล้ว ที่มาเล่นอีกเพราะช่วงคุณแม่ป่วยซึ่งท่านเป็นคนชอบร้องเพลงก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะใช้เวลาร่วมกับคุณแม่ได้ ก็เลยหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นอีกครั้งให้คุณแม่ก็ร้อง ซึ่งพอคุณแม่เสียก็เลยคิดว่าไหนๆ หยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นแล้วก็เลยพยายามหัดต่อเนื่องซะเลย แต่วัยนี้ก็รู้เลยว่าเรียนรู้ช้ามาก แต่ก็สนุกดีไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย

ส่วนเรื่องของครอบครัว คุณเอ้มีลูกสาวสวยมาก 2 คน อายุ 18 ปี กับ 15 ปี “น้องเอแคลร์”กับ“น้องแพนเค้ก” ซึ่งคุณเอ้ก็เล่าให้ฟังว่าส่วนใหญ่จะใช้เวลาในช่วงของวันอาทิตย์อยู่กับครอบครัว ไปเที่ยว ไปทานอาหารด้วยกัน และมักจะสอนให้ลูกๆ รู้จักคุณค่าของทุกๆ อย่างบนโลกนี้โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิต รวมทั้งเน้นให้รู้จักคุณค่าของเงินและการใช้ที่เหมาะสม เพียงแค่หวังว่าเมื่อพวกเขาโตขึ้นแล้ว จะมีหลักการใช้ชีวิตที่ไม่ไปเอาเปรียบใคร ไม่เบียดเบียนใคร และหากมีโอกาสก็ทำประโยชน์ให้สังคมบ้าง

 

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...