ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
เศรษฐกิจชุมชน ย้อนกลับ
“ข้าว” ปีทองของชาวนา
02 พ.ย. 2561

            นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปี เป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดมาก เกษตรกรบางพื้นที่ประสบปัญหารถเกี่ยวนวดข้าวไม่เพียงพอและค่าบริการรถเกี่ยวมีราคาสูง ส่งผลให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวไม่ทัน ข้าวที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวจึงไม่มีคุณภาพขายได้ราคาไม่ดี ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหารถเกี่ยวข้าวไม่เพียงพอและลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร กรมการค้าภายในได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ชมรมรถเกี่ยวนวดข้าวไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมอนามัย ร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยในปีการผลิต 2561/62 นี้ ชมรมรถเกี่ยวนวดข้าวไทย จะคิดค่าบริการรถเกี่ยวแก่เกษรตรกรในอัตราเพียง 450 - 500 บาท/ไร่ เท่านั้น และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อำนวยความสะดวกในการอนุญาตให้ผู้ประกอบการรถเกี่ยวบรรทุกขนย้ายรถเกี่ยวนวดข้าวประจำปีการผลิต 2561/62 เป็นการชั่วคราวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2562 รวมถึงกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะพิจารณายกเว้นหรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวนอกสถานที่ในอัตราต่ำสุด

สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดมากตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2561 โดยคาดการณ์แนวโน้มราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ยังคงมีราคาสูงกว่าปีที่ผ่านมาทุกชนิดข้าว แม้ข้าวฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากต่างประเทศ อาทิ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และประเทศในแถบแอฟริกา โดยในปี 2561 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ปริมาณ 11 ล้านตันอย่างแน่นอน ประกอบกับสต็อกข้าวของรัฐบาลเหลือในปริมาณที่น้อยมาก ส่งผลให้ปัจจัยลบที่เป็นตัวกดราคาข้าวในประเทศหมดไป สำหรับข้าวหอมมะลิ พบว่าในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เช่น ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น ชัยภูมิ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิเกิดภัยแล้ง ส่งผลให้ในบางพื้นที่ผลผลิตข้าวเปลือกคาดการณ์ว่าจะเสียหายมากกว่าร้อยละ 20 โดยราคาข้าว ความชื้น 15% ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ข้าวเจ้า 5% ปรับตัวสูงขึ้นจาก 7,300 - 7,800 บาท/ตัน มาอยู่ที่ 7,500 - 7,900 บาท/ตัน ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาจะไม่ปรับลดลงไปกว่านี้แล้ว ในส่วนข้าวหอมมะลิ ราคาปรับตัวสูงขึ้นจาก 11,550 - 14,550 บาท/ตัน มาอยู่ที่ 14,450 - 17,500 บาท/ตัน (เกี่ยวสด 13,500-14,200) และจะยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปัญหาภัยแล้งในแหล่งเพาะปลูกสำคัญ

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก รัฐบาลมีมาตรการในการรักษาเสถียรภาพด้านการตลาดโดยการดึงอุปทานออกสู่ตลาด 3 โครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ได้แก่ (1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ซึ่งเกษตรกรจะได้รับค่าฝากเก็บตันละ 1,500 บาท กรณีฝากเก็บไว้ในยุ้งฉางตนเอง และตันละ 1,000 บาท กรณีฝากเก็บไว้ที่สหกรณ์ และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ในอัตราไร่ละ 1,500 บาท 
ไม่เกิน 12 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 18,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาครัวเรือนละ 6,000 บาท 
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ทั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรมีช่องทางการจำหน่ายข้าวเปลือกมากขึ้นและทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ในพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการรับซื้อน้อย ได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดจัดตลาดนัดข้าวเปลือก โดยนำผู้ประกอบการจากพื้นที่อื่นหรือนอกจังหวัดเข้ามาร่วมรับซื้อเพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ในการซื้อขาย รวมทั้งได้รับความเป็นธรรมในการชั่งน้ำหนักและวัดความชื้นด้วย

         ดังนั้น ในปีการผลิต 2561/62 เกษตรกรมั่นใจได้ว่าข้าวจะมีราคาอยู่ในเกณฑ์ดี ผลผลิตข้าวได้รับการเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยต้นทุนการผลิตที่ลดลง จึงถือเป็นปีทองของพี่น้องชาวนาอย่างแท้จริง

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...