นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2566 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ 2 เรื่อง โดยเรื่องแรก คือ “นโยบาย มาตรการ และแนวทางปฏิบัติด้านการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ที่ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เนื่องจากอัตราป่วยโรคซิฟิลิสเพิ่มจาก 11 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2561 เป็น 18.6 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2565 โดยโรคซิฟิลิสและโรคหนองในเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มเยาวชน ขณะที่อัตราป่วยโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดเพิ่มจาก 25.1 เป็น 98.2 ต่อเด็กเกิดมีชีพแสนคน โดยจะดำเนินการภายใต้หลักการพื้นฐาน คือ ประชาชนได้รับบริการด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีประสิทธิผลและคุณภาพอย่างสะดวก ทั่วถึง ไม่มีใครถูกละเลยและภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมให้บริการด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง เคารพสิทธิ และละเอียดอ่อนต่อเพศสภาพ ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย เป้าหมายสำคัญคือ ลดอัตราป่วยโรคซิฟิลิส โรคหนองใน และโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด ให้สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยยุติการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เป็นอันตราย เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศภายในปี 2573
นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 คกก. เห็นชอบร่างอนุบัญญัติที่ออกตามความใน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 รวม 2 ฉบับ คือ ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ที่พาหนะจะเข้ามาถึงด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ กรณีพบเหตุอันสมควร หรือมีเหตุสงสัยว่าพาหนะที่เข้ามาจากที่ที่มีโรคระบาด ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านฯ จะสามารถดำเนินการป้องกันควบคุมโรคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ยังได้รับทราบความก้าวหน้าผลการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV จำนวน 1 ล้านโดสใน 100 วัน ตามนโยบาย “มะเร็งครบวงจร” ซึ่งบรรลุเป้าหมาย Quick Win และยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีน HPV ให้มากที่สุดพร้อมจัดหาวัคซีนเพิ่ม โดยมีผู้หญิงอายุระหว่าง 11 - 20 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอีก 1.2 ล้านคน นอกจากนี้ เสนอร่าง พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งได้รวบรวมความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อนำข้อมูลมาประกอบการจัดทำร่างฯ และนำเสนอตามกระบวนการนิติบัญญัติต่อไป รวมถึงรับทราบสถานการณ์โรคติดต่อและการพยากรณ์โรคติดต่อที่มีแนวโน้มเกิดการระบาดได้ในปี 2567 ดังนี้ 1.โรคติดต่อทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคโควิด 19 มาตรการป้องกันเน้นกลุ่มเสี่ยง 608 ลดเสี่ยงปอดอักเสบรุนแรง โดยฉีดวัคซีนประจำปีในกลุ่มเสี่ยง 608 ตรวจ ATK เมื่อป่วย หากผลบวกไปพบแพทย์ทันที และสวมหน้ากากเมื่อป่วย หรือใกล้ชิดเด็กเล็กและกลุ่ม 608 และโรคไข้หวัดใหญ่ แนะนำประชาชนฉีดวัคซีนประจำปี ลดติดเชื้อ ลดเสี่ยงปอดอักเสบ โดยขยายฉีดวัคซีนในเด็ก 6 เดือน - 5 ปี หากมีไข้สูง หอบเหนื่อย รีบพบแพทย์ทันที และสวมหน้ากากเมื่อป่วย หรือใกล้ชิดเด็กเล็กผู้สูงวัย ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง
2.โรคติดต่อนำโดยแมลง ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคชิคุนกุนยา มีมาตรการป้องกันควบคุมโรค โดยผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลและได้รับการวินิจฉัย 3 โรคนี้ ให้แพทย์สั่งจ่ายยาทากันยุง จัดกิจกรรมกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายต่อเนื่อง รวมทั้งเน้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ หากสงสัยไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ใหญ่รีบพบแพทย์ และ งดทานยา NSAID ลดเสี่ยงภาวะแทรกช้อน สำหรับพื้นที่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา เน้นหญิงตั้งครรภ์ต้องป้องกันการถูกยุงกัด และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย นอกจากนี้ ยังคงเฝ้าระวังและให้คำแนะนำในการป้องกันควบคุมโรคในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ โรคฝีดาษวานร เอชไอวี/เอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยย้ำกลุ่มเสี่ยงลดการสัมผัสแนบชิดกับคนแปลกหน้า หรือมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง หากสงสัยป่วยให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ซึ่งปัจจุบันมียาต้านไวรัส สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเสี่ยงต่อป่วยรุนแรง ส่วนโรคหัด เน้นการสื่อสารให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีน MMR ให้ครบ 2 เข็มในเด็กอายุ 9 เดือน (เข็มที่ 1) และอายุ2 ปีครึ่ง - 4 ปี (เข็มที่ 2)
ส่วนสถานการณ์โรคไอกรนที่เพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พบผู้ป่วยยืนยันรวม 229 ราย จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนไอกรนในเด็กอายุ 6 สัปดาห์ – ต่ำกว่า 7 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วน และในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อถ่ายทอดภูมิคุ้มกันไปยังทารกในครรภ์ ให้ทารกมีภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนก่อนถึงระยะเวลาที่สามารถรับวัคซีนได้