นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาหารือร่วมกัน เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
สำหรับ ผลการดำเนินงานที่สำคัญในระยะ 30 วัน โดยการปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ สตช.ได้เร่งรัดจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 1-30 เมษายน 2567 เทียบกับการดำเนินงานช่วงที่ผ่านมา
จากการรับแจ้งความคดีอาชญากรรมพบว่าในเดือน มีนาคม 2567 มีการแจ้งความเฉลี่ยวันละ 855 คน เปรียบเทียบกับในเดือนเมษายน 2567 เฉลี่ยวันละ 992 คน ขณะที่ด้านมูลค่าความเสียหายของคดีอาชญากรรมออนไลน์รวมทุกประเภท พบว่ามีมูลค่าความเสียหายลดลง โดยเดือนมีนาคม 2567 มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 149 ล้านบาทต่อวัน และเดือนเมษายน 2567 มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 110 ล้านบาทต่อวัน
ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดมี ดังนี้
1. การจับกุมคดีอาชญากรรมออนไลน์ทุกประเภทในเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 มีจำนวน 2,600 คน เฉลี่ย 1,000 คนต่อเดือน เทียบกับเดือนเมษายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 6,458 คน การจับกุมคดีพนันออนไลน์ในเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 มีจำนวน 1,250 คนต่อเดือน เทียบเดือนเมษายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,595 คน และการจับกุมบัญชีม้าในเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 มีจำนวนเฉลี่ย 120 คนต่อเดือน เทียบเดือนเมษายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 365 คน
2. การปิดกั้นเว็บไซต์ ผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ ในช่วงเวลา 1 – 30 เมษายน 2567 เทียบกับ การดำเนินงานช่วงที่ผ่านมา สรุปผลได้ดังนี้
เดือนเมษายน 2567 ปิดกั้นเว็บไซต์ ผิดกฎหมายรวมทุกประเภท จำนวน 16,158 รายการ เพิ่มขึ้น 25.8 เท่าตัว เทียบกับเดือน เมษายน 2566 ที่มีการปิดกั้นเว็บไซต์ ผิดกฎหมายรวมทุกประเภท 625 รายการ
เดือน เมษายน 2567 ปิดกั้นเว็บไซต์ ประเภทหลอกลวงผิดกฎหมาย จำนวน 4,357 รายการ เพิ่มขึ้น 16.2 เท่าตัว เทียบกับเดือน เมษายน 2566 ที่มีการปิดกั้นเว็บไซต์ ประเภทหลอกลวงผิดกฎหมาย 268 รายการ
เดือน เมษายน 2567 ปิดกั้นเว็บไซต์ประเภทพนันออนไลน์ จำนวน 6,515 รายการ เพิ่มขึ้น 38.8 เท่าตัว เทียบกับเดือน เมษายน 2566 ที่มีการปิดกั้นเว็บไซต์ประเภทพนันออนไลน์จำนวน 168 รายการ
สตช. ในเดือน เมษายน 2567 ปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายประเภทหลอกลวง จำนวน 2,828 รายการ นอกจากนี้ ดีอี ได้ประสานงานกับ google, facebook, tiktok, X และ line เพื่อช่วยปิดกั้นการใช้โซเชียล ที่ผิดกฎหมาย
3. การแก้ไขปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัดและตัดตอนการโอนเงิน ที่ผ่านมา ธนาคารมีการระงับไปแล้ว จำนวนกว่า 3 แสนบัญชี ศูนย์ AOC 1441 ได้ระงับหรือปิดบัญชีไปแล้ว จำนวน 112,699 บัญชี และ สำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินการปิดบัญชีม้าไปแล้ว จำนวน 318,298 บัญชี
นอกจากนี้ กำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิดโดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชี โดยจะเริ่มภายในเดือน พฤษภาคม 2567 ปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว
4. การแก้ไขปัญหาซิมม้าและการใช้ซิมอย่างผิดกฎหมาย โดยการกวาดล้างซิมม้าและซิมต้องสงสัย สำนักงาน กสทช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนสำหรับผู้ถือครองซิมการ์ดมากกว่า 100 ซิม โดยครบกำหนดการยืนยันตัวตนเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 มีผู้มายืนยันตัวตนแล้ว จำนวน 2.58 ล้านหมายเลข และยังไม่มายืนยันตัวตน อีกจำนวน 2.5 ล้านหมายเลข ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการระงับ 2.5 ล้านหมายเลขที่ไม่ได้มายืนยันตัวตน
อีกทั้งผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Operator) ดำเนินการระงับเลขหมายที่มีการโทรออกเกิน 100 ครั้ง ต่อวัน โดยระงับไปแล้วกว่า 36,641 หมายเลข ในส่วนของ สตช. และ ดีอี ได้ประสานเพื่อระงับ ซิมม้า หรือซิมต้องสงสัยไปแล้วกว่า 800,000 หมายเลข
5. การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
6. การร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยปราบปรามจับกุมช่างต่างชาติที่มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยร่วมกับ สตช. ดีอี และหน่วยงานเกี่ยวข้อง สนับสนุนการจับกุม ปราบปราม ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยที่มีพฤติกรรมผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการชักชวน หลอกลวงคนไทยเพื่อพาไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้ความสำคัญกับจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
7. การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ รวมถึงประเด็นปัญหาอาชญกรรมออนไลน์อื่นๆ และ สตช. โดยเฉพาะ ตม. เคร่งครัดการตรวจสอบบุคคลเข้า-ออก และการเข้า-ออกผ่านช่องทางธรรมชาติ เพื่อลดปัญหาการเดินทางไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการขนเงินออกนอกประเทศ
8. การกำกับดูแลแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผิดกฎหมาย โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ส่งข้อมูลผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ดีอีปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการดังกล่าว และดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ให้บริการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตและชักชวนให้มีการใช้บริการในประเทศไทย เช่น กรณี Binance และ กรณีบริษัท Bybit Fintech Limited (Bybit)
9. การบูรณาการข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้ศูนย์ AOC 1441 เป็น Platform รับและแลกเปลี่ยนข้อมูลบูรณาการข้อมูล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน กสทช. ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ปปง. กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยทำงานแบบอัตโนมัติ(Automation) และใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence)
ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่อไป โดยจะมีการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้นเดือนพฤษภาคม 2567
10. มาตรการด้านกฎหมายและงานสำคัญอื่น โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เร่งจัดทำ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. … เพื่อแก้ปัญหา บริการเก็บเงินปลายทางสำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Cash on Delivery) ช่วยขจัดปัญหาการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งคาดว่า ประกาศดังกล่าว จะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งประเมินว่า มาตรการนี้ จะช่วยลดจำนวน คดีหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
และสำนักงาน ก.ล.ต. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพย์สินดิจิทัลผิด กฎหมาย โดยเฉพาะการใช้ส่งเงินของคนร้าย และสำนักงาน ปปง. สตช. ดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการคืนเงินจากบัญชีม้าที่อายัดได้ให้แก่ผู้เสียหาย
“แม้ตัวเลขความเสียหายจะมีมูลค่าลดลง แต่ยังไม่พอใจ เพราะคิดเป็น 20% จึงอยากให้ความเสียหายลดลงมากกว่านี้ อยากให้ลงเกิน 50% ก่อน และต้องลดลงเรื่อยๆ จนหมดไป ตัวเลขเท่าไหร่ยังมองยาก แต่จะแก้ปัญหานี้ให้น้อยลง ดังนั้น ทุกหน่วยงานจะดำเนินตามแนวทางและมาตรการที่ได้กำหนดเอาไว้ร่วมกัน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป” นายประเสริฐกล่าว