เดวิด หลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดบ้านสำนักงานบริษัทหัวเว่ย ประเทศไทย ณ อาคารจีแลนด์ ถนนพระราม9 เพื่อให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน พร้อมตอบทุกคำถามครอบคลุม ทั้งการลงทุน มุมมองเทคโนโลยี และประเด็นร้อน กระแสต้านการลงทุนธุรกิจจีนทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย
Mr.เดวิด หลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด
Q1. หลังจาก Huawei อยู่ไทยมา 25 ปี มองตลาดไทยต่อไปอย่างไร?
ก่อนอื่น ผมคิดว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ (Strategic Market) สำหรับ Huawei เสมอมา ในภาพรวมของโลก ASEAN เป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ดีที่สุดและมีพลวัตมากที่สุด ผมคิดว่านี่เป็นการเดินทางยาวนานสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในการพัฒนาเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และสังคมอย่างรวดเร็ว ในภาพรวม ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์อย่างแน่นอน ในช่วง 25 ปีของเรา เราให้ความสำคัญกับประเทศไทยเสมอ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในที่ทำการแห่งแรกของ Huawei ที่เริ่มต้นธุรกิจและการลงทุน เราเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักและผู้สนับสนุนอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ผมมั่นใจว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉม ก่อนหน้านี้ ผู้คนใช้โทรศัพท์เพียงเพื่อการโทร แต่ต่อมาก็มีการพัฒนาจาก 2G, 3G, 4G และ 5G Huawei เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนสำคัญในเส้นทางนี้ เราช่วยประเทศไทยในการสร้างเครือข่ายจาก 2G, 3G, 4G และ 5G และเรายังเริ่มนวัตกรรมในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยร่วมกับลูกค้าของเรา
ผมภูมิใจเสมอที่ได้เห็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง บางครั้งก็เป็นผู้นำระดับโลก ตัวอย่างเช่น 5G ประเทศไทยได้เปิดตัวมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว มันอยู่ที่แนวหน้าของโลก การก่อสร้างและนวัตกรรมเป็นเวลาห้าปี ทำให้ประเทศไทยมีหนึ่งในเครือข่ายที่ดีที่สุด หลายคน แม้กระทั่งเพื่อนของผมในยุโรป ยอมรับว่าเครือข่ายในกรุงเทพฯ ดีกว่าในยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้ว
นอกจากความเร็วและโทรศัพท์มือถือแล้ว เรามีการร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นของไทยเพื่อใช้เทคโนโลยี 5G ในแต่ละอุตสาหกรรม เรามีโรงพยาบาล 5G แห่งแรกที่ศิริราช และเรายังได้ร่วมมือกับ SCG เพื่อทำเหมือง 5G, ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และเรายังมีโรงงาน 5G กับ Midea ในสวนอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงาน
ในแง่นวัตกรรม เราสามารถเห็นได้ว่าประเทศไทยร่วมมือกับจีนและพันธมิตรในภูมิภาค เป็นผู้บุกเบิกและแนวหน้าในเทคโนโลยีขั้นสูง นี่ไม่ใช่เพียงแค่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมเท่านั้น เรามีหลายอุตสาหกรรมเช่น คลาวด์ และธุรกิจอื่นๆ ที่อยู่แนวหน้าของโลก นี่เป็นเหตุผลที่เราเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์และเราจะลงทุนในตลาดนี้ต่อไป
Q2. ที่ผ่านมา Huawei ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วเท่าไหร่?
จริงๆ ตอนนี้ผมไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คลาวด์ ทุกคนพูดถึงคลาวด์ใช่ไหม? เราเป็นบริษัทแรกที่ลงทุนในศูนย์ข้อมูลในปี 2018 จนถึงตอนนี้การลงทุนของเรามีมากกว่า 5.5 พันล้านบาท นี่เป็นเพียงตัวเลขเก่าและสำหรับศูนย์ข้อมูลเท่านั้น
เราได้สร้างศูนย์ข้อมูลสามแห่งเพื่อให้มีความเสถียรสูง ความน่าเชื่อถือสูง และความปลอดภัยสูง เรายังปฏิบัติตามกฎหมายไทยทั้งหมด ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในประเทศไทย เราเป็นบริษัทแรกที่ลงทุนอย่างจริงจัง แต่ผมไม่อยากเน้นที่ตัวเลขการลงทุนเหล่านี้
ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูง เรามักเน้นที่ระบบนิเวศและการเพิ่มทักษะ การถ่ายทอดความรู้ ตัวอย่างเช่น ในคลาวด์ นอกจากการลงทุนในศูนย์ข้อมูลแล้ว เรายังร่วมมือกับหลายสถาบันและมหาวิทยาลัย เพื่อถ่ายทอดความรู้ เรามี MOU กับมหาวิทยาลัยประมาณ 40 แห่งเพื่อร่วมมือด้านการศึกษา และเรายังมีโปรแกรมช่วยเหลือสตาร์ทอัพท้องถิ่นและบริษัท SMEs ในการพัฒนาเทคโนโลยี
เราเน้นที่การถ่ายทอดความรู้และการสร้างระบบนิเวศในประเทศไทย เพราะคลาวด์ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาร่วมกัน ดังนั้นเราจึงร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นประมาณ 18 อุตสาหกรรม เพื่อใช้เทคโนโลยีคลาวด์ของเราและสร้างงานในท้องถิ่น
Q3. มองไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้าอย่างไร? Huawei มีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมหรือไม่?
ผมคิดว่า รัฐบาลไทยเพิ่งออกนโยบายมากมาย เช่น Cloud First, Ignite Thailand, Digital Government, Digital Thailand นี่เป็นนโยบายที่ดีมาก เราเห็นว่ารัฐบาลมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ และภาคเอกชนก็มีแผนสำหรับดิจิทัลมากขึ้นด้วย
ในฐานะธุรกิจหลักของ Huawei เราให้ความสำคัญกับสองด้านหลัก หนึ่งคือเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น 5G คลาวด์ AI และอื่นๆ อีกด้านคือพลังงานใหม่ สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของเราที่จะช่วยสนับสนุนการเดินทางดิจิทัลและพลังงานสะอาดของประเทศไทย เรามองในแง่ดีอย่างมากเกี่ยวกับประเทศไทยในฐานะประเทศที่เจริญรุ่งเรืองและมีพื้นที่มากมายให้พัฒนาและลงทุน
Q4. Huawei มีแผนจะขยายสายการผลิตในประเทศไทยหรือไม่ในอนาคต?
ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูง คุณจะเห็นว่าธุรกิจของเราเน้นที่การพัฒนาซอฟต์แวร์และการออกแบบโมเดลธุรกิจมากกว่าการผลิตสินค้า ดังนั้นเราจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา (R&D) มากกว่า
เราได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรม 5G และร่วมมือกับ SMEs ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์และโมเดลธุรกิจที่สร้างคุณค่าเพิ่มเติมมากกว่าการเน้นที่การผลิตในโรงงาน
Q5. วัฒนธรรมของ Huawei เป็นอย่างไร?
Huawei เน้นวัฒนธรรมสามส่วนหลัก ได้แก่ การมุ่งเน้นลูกค้า การยกย่องความทุ่มเทของพนักงาน และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เราเน้นความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรก พนักงานคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของเรา และเรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงตัวเองเสมอ
Q6. Huawei มีแผนรับมือกับมาตรการจากสหรัฐฯ หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่?
เรามีความมั่นใจในความต่อเนื่องของธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้ลงทุนอย่างมากในด้านการวิจัยและพัฒนา เรามีโปรแกรม Business Continuity Management (BCM) และเรามีซัพพลายเชนและพันธมิตรในหลายภูมิภาค ซึ่งทำให้เรามั่นใจในธุรกิจของเรา เห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมา Huawei ยังมีการเติบโตธุรกิจในระดับโลกที่ยังแข็งแกร่ง
Q7: มุมมองเกี่ยวกับธุรกิจจีนในไทยที่เกิดขึ้น และมีข้อกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยในปัจจุบันหรือไม่?
ผมคิดว่าประเทศไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีมากในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามานาน ซึ่งในภาษาจีน ที่เราใช้กันคือคำว่า ‘ครอบครัว’ ด้วยมีทั้งการลงทุนจากไทยไปจีน และจากจีนมาไทยมากมาย ซี่ง Huawei ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายและการสร้างระบบนิเวศในท้องถิ่น เราปฏิบัติตามข้อกำหนดและมุ่งเน้นความมั่นคงและความปลอดภัยในการดำเนินธุรกิจของเราในประเทศไทย