“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ขนทัพผู้ประกอบการไทย 50 ราย เข้าร่วมงาน “World Travel Market” (WTM) 2025 เทรดโชว์การท่องเที่ยวยิ่งใหญ่ระดับโลก ระหว่างวันที่ 4-6 พ.ย. ณ Excel London กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย ภายใต้แนวคิด “Senses of Siam : A Journey to Total Well-being” เชื่อมโยงความเป็นไทยเข้ากับแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า
อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ด้วยนโยบายสำคัญ “Big Impact Act Fast” ส่งเสริมตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ตลาดยุโรป” ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่เติบโตดี ด้วยการมุ่งขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพเพื่อเพิ่มจำนวนวันพักค้างและการใช้จ่ายทางการท่องเที่ยว
“การเข้าร่วมงาน WTM ในปีนี้นับเป็นเวทีสำคัญให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไทยได้พบปะเจรจากับผู้ซื้อจากทั่วโลก นำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสู่สายตานานาชาติ เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพในตลาดยุโรป ผลักดันประเทศไทยสู่ภาพลักษณ์จุดหมายปลายทางระดับโลก (Global Destination)”
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงาน WTM ในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการนำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวจากผู้ประกอบการไทยสู่ตลาด “ยุโรป” โดยเฉพาะตลาด “สหราชอาณาจักร” พร้อมเปิดตัวแคมเปญสื่อสารการตลาดใหม่ Amazing Thailand: Unforgettable Experience “Healing is The New Luxury” ดึงนักท่องเที่ยวร่วมค้นหานิยามใหม่ของ “ความหรูหรา” ซึ่งไม่ได้วัดจากราคา แต่คือช่วงเวลาอันล้ำค่าของการได้หยุดพักใจ เติมพลังความสุข และเปิดรับแรงบันดาลใจใหม่ไปพร้อมกัน
“ททท.คาดการณ์ว่าการเข้าร่วมงาน WTM 2025 จะมีจำนวนนัดหมายในการเจรจาธุรกิจรวมไม่น้อยกว่า 1,500 นัดหมาย สามารถสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวได้มากกว่า 1,330 ล้านบาท”

ฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาค “ยุโรป” เดินทางเข้าไทยตลอดปี 2568 คาดมีจำนวนประมาณ 8.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% เทียบกับปี 2567 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ “All-Time High” โดยมีค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวราว 60,374 บาท/คน/ทริป สร้างรายได้การท่องเที่ยว 5.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว
เฉพาะช่วงไฮซีซันปลายปี ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2568 จะมีนักท่องเที่ยวยุโรป (รวมอิสราเอล) เดินทางเข้าไทย 2.75 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้การท่องเที่ยว 1.65 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดจองบัตรโดยสารเครื่องบินล่วงหน้า (Forward Booking) เข้าไทย การเปิดเที่ยวบินใหม่ในช่วงตารางบินฤดูหนาว และการเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายต่างประเทศ
“ตลาดยุโรปในปีนี้สัญญาณบวกชัดเจน ทั้ง Forward Booking ที่เพิ่มขึ้นกว่า 8% และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของไทยที่สูงขึ้นในสายตาชาวยุโรป ขณะเดียวกัน ททท. ได้เดินหน้ากลยุทธ์ Airline Focus ร่วมกับพันธมิตรหลายสายการบินอย่างต่อเนื่อง หลังได้ผลดีอย่างมากทั้งในเชิงการตลาดและการเปิดเส้นทางบินใหม่ เพื่อเพิ่มการเดินทางตรงจากยุโรปเข้าสู่ไทย”
สำหรับ “เส้นทางใหม่” ในตารางบินฤดูหนาวนี้ ได้แก่ สายการบินนอร์ส แอตแลนติก (Norse Atlantic) เปิดเส้นทาง สตอล์กโฮม - กรุงเทพฯ ความถี่ 2 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 23 ต.ค. 2568, เส้นทาง ลอนดอน (เกตวิค) - กรุงเทพฯ ความถี่ 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 27 ต.ค. 2568, เส้นทาง แมนเชสเตอร์-กรุงเทพฯ ความถี่ 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 27 พ.ย. 2568, เส้นทาง สตอกโฮล์ม - ภูเก็ต ความถี่ 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 5 ธ.ค. 2568 และเส้นทาง ออสโล - ภูเก็ต ความถี่ 1 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 9 ธ.ค. 2568
ด้านสายการบินอาร์เกีย อิสราเอล จะเปิดเส้นทาง เทลอาวีฟ - กรุงเทพฯ ความถี่ 2 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 26 พ.ย. 2568, สายการบินแอร์ ฟรานซ์ (Air France) เส้นทาง ปารีส - ภูเก็ต ความถี่ 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 28 พ.ย. 2568 ส่วนสายการบินเวอร์จิน แอตแลนติก (Virgin Atlantic) เตรียมเปิดเที่ยวบินตรง ลอนดอน–ภูเก็ต ในเดือน ต.ค. 2569
นอกจากนี้ สายการบินตะวันออกกลาง เช่น สายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ส (Etihad Airways) ได้เปิดเส้นทาง อาบูดาบี - กระบี่ ความถี่ 1 เที่ยวบิน/วัน เริ่มบิน 9 ต.ค. 2568 และเส้นทาง อาบูดาบี - เชียงใหม่ ความถี่ 4 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เริ่มบิน 4 พ.ย. 2568 ขยายฐานตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง
“ททท.ได้เข้าไปส่งเสริมและเจรจากับสายการบินในยุโรปและตะวันออกกลางให้ใช้สนามบินภูมิภาค เช่น กระบี่ เชียงใหม่ และอู่ตะเภา เป็นจุดเชื่อมเที่ยวบินระยะไกลเข้าประเทศไทย โดยเฉพาะสนามบินกระบี่ ซึ่งมีสลอต (Slot) หรือการจัดสรรเวลาการบินให้ลงอีกมากถึง 30-40% และเป็นประตูใหม่สู่ฝั่งอันดามัน ไม่ให้กระจุกเฉพาะสนามบินภูเก็ต”

ขณะเดียวกันในปี 2568 ททท.ตั้งเป้าตลาดระยะไกลที่มีนักท่องเที่ยวทะลุล้านคน หรือ “Million Market” ได้แก่ สหรัฐ สหราชอาณาจักร เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันทั้ง 4 ตลาดเห็นสัญญาณการเติบโตดี จากสถิตินักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ต.ค. 2568 ตลาดสหรัฐมีจำนวนเดินทางเข้าไทยสะสม 7.99 แสนคน เพิ่มขึ้น 5.14% ส่วนตลาดสหราชอาณาจักร มีจำนวน 8.07 แสนคน เพิ่มขึ้น 13.19% ตลาดเยอรมนี 7.04 แสนคน เพิ่มขึ้น 11.49% และตลาดฝรั่งเศส 6.33 แสนคน เพิ่มขึ้น 15.48%
“แม้ว่าในระยะอันใกล้รายได้จากตลาด Million Market และตลาดระยะไกลอาจยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่หายไปของตลาดระยะใกล้ แต่แนวโน้มการเติบโตของตลาดมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านจำนวนและรายได้ จากปัจจัยสนับสนุนการเปิดเส้นทางบินใหม่และการจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดของ ททท.อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการสร้างสมดุลตลาดในระยะยาว”
เมื่อดูเฉพาะตลาด “สหราชอาณาจักร” ถือว่าเป็นตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีคุณภาพ ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนไทยมากที่สุด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ต.ค. 2568 มีจำนวนเดินทางแล้ว 8.37 แสนคน และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเดินทางเข้าไทยกว่า 1.13 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่แล้ว โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 62,138 บาท/คน/ทริป สร้างรายได้การท่องเที่ยวกว่า 7.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%
“ททท.ทำการตลาดเชิงรุก มุ่งโฟกัสกลุ่มตลาดสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นตลาดระยะไกลที่เติบโตดี มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ กลุ่มลักชัวรี กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และกลุ่มเซเลเบรชัน เพื่อขยายฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพ พร้อมนำเสนอสินค้ากลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness) ควบคู่กับการยกระดับภาพลักษณ์ท่องเที่ยวยั่งยืนด้วยสินค้าและบริการที่ได้รับมาตรฐาน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมและความสนใจของนักท่องเที่ยว”

นักท่องเที่ยวกลุ่ม Health & Wellness ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสร้างคุณค่าสูง หรือ “High Value” จากผลการสำรวจพบว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยถึง 100,259 บาท/คน/ทริป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และโอเชียเนีย
โดยในปี 2568 ททท.ได้เปิดเวทีเจรจาธุรกิจพร้อมนำเสนอสินค้าบริการกลุ่ม Health & Wellness ให้แก่ผู้ประกอบการจากต่างชาติ อาทิ กิจกรรม Amazing Thailand Health & Wellness Trade Meet 2025 และในปี 2569 เสนอประสบการณ์เวลเนสแบบองค์รวมระดับพรีเมียม ผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและเวลเนสระดับโลก อาทิ โรงพยาบาลที่ได้รับการรับรอง JCI พร้อมนำเสนอจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพครอบคลุมพื้นที่เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว อาทิ พัทยา จ.ชลบุรี หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.กระบี่