‘ธรรมนัส ’มั่นใจ รับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ไม่เกิดผลกระทบรุนแรงเท่าปี 2554ด้านกรมชล ระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่ 2,700 ลบ.ม./วินาที พร้อมเฝ้าระวังฝนจาก “คัลแมกี”
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นจากฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ และพายุคัลแมกี ที่จะมีอิทธิพลต่อประเทศไทยในช่วง 2-3 วันข้างหน้า ทำให้พื้นลุ่มต่ำอย่างตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งเป็นรอยต่อสำคัญที่จะส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร

ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย กรมชลประทาน จะขับเคลื่อนการดำเนินการบริหารจัดการน้ำตามนโยบายของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้มากที่สุด โดยสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีในขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุอุทกภัยที่รุนแรงเช่นเดียวกับในปี 2554 อย่างแน่นอน
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ได้เดินต่อไปยังวัดลาดสนุ่น เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลำน้ำคลองหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี พร้อมมอบถุงยังชีพ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์น้ำ และปัจจัยการผลิตให้กับประชาชนในพื้นที่อีกด้วย


นายธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กล่าวว่า วันนี้(6 พ.ย.68) เขื่อนเจ้าพระยาระบายที่ 2,700 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)/วินาทีซึ่งเป็นปริมาตรสูงสุดที่เกิดจากฝนที่ตกหนักระลอกก่อนหน้านี้ โดยเป็นการตกทั้งลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่านด้านท้ายเขื่อนตอนบน แม้เขื่อนซึ่งเป็นเครื่องมือหน่วงน้ำยังมีศักยภาพรองรับน้ำ แต่เมื่อฝนตกท้ายเขื่อนจึงไหลลงสู่ลุ่มเจ้าพระยาอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำรองรับ “คัลแมกี” ที่กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า จะส่งผลให้เกิดฝนตกทั่วไทย ด้วยการแบ่งน้ำเข้าระบบชลประทาน 2 ฝั่งด้านเหนือเขื่อนให้มากที่สุด เพราะหากให้ระดับน้ำหน้าเขื่อนสูงเกินเกณฑ์ควบคุมจะทำให้เกิดน้ำล้นตลิ่งพื้นที่ริมน้ำในจังหวัดเหนือเขื่อนด้วย ผลกระทบจะกว้างขึ้นซึ่งขณะนี้ได้แจ้งต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ขยายกรอบการระบายน้ำเกินกว่า 2,700 ลบ.ม./วินาทีไว้เผื่อในกรณีที่จำเป็น แต่จะพยายามตรึงไว้ที่อัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาทีเพื่อไม่ให้พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้รับผลกระทบเพิ่ม