9 เม.ย. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกรเทรวงการคลัง เปิดเผยถึงมาตรการณ์ช่วยเหลือเกษตรกรจากโควิดว่า ในวันที่ 10 เม.ย. จะหารือกับผู้บริหารธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อหาข้อสรุปมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกครั้ง ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการหารือเบื้องต้นยังมีรายละเอียด
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า การหารือให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรกับ รมว.คลัง ในวันที่ 9 เม.ย. ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากต้องไปทำรายละเอียดเพิ่มเติมในประเด็นที่สำคัญ 3 เรื่องคือ 1.จะให้ความช่วยเหลือเป็นครัวเรือนและให้จำนวนกี่ครัวเรือน 2.ให้เงินช่วยเหลือครัวเรือนจำนวนเงินเท่าใดต่อครัวเรือน 3.วิธีการจ่ายเงินจะจ่ายกี่ครั้งหรือครั้งเดียว โดยต้องคำนึงถึงงบประมาณจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ให้อยู่ในส่วนของวงเงินช่วยเหลือเยียวยา 6 แสนล้านบาท ที่ดูแลทั้งด้านการสาธารณสุข อาชีพอิสระและเกษตรกร
“ยังมีรายละเอียดต้องไปดูเพิ่มเติมว่า กลุ่มเกษตรกรที่ได้ จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับอาชีพอิสระที่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ผ่านการลงทะเบียนเว็บไซต์ “เราไม่ทิ้งกัน” หรือไม่ เพราะในหลักการ กระทรวงการคลังไม่ต้องการให้มาตรการช่วยเหลือซ้ำซ้อนกัน แต่ต้องการกระจายการช่วยเหลือไปให้ถึงจำนวนคนมากที่สุด”
นายอภิรมย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับกลุ่มเกษตรกรที่จะรับเงินช่วยเหลือ จะครอบคลุมทั้งหมด ทั้งชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ประมง และปศุสัตว์ ที่มีการลงทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประมาณ 9 ล้านครัวเรือน โดยไม่จำเป็นต้องมาลงทะเบียนใหม่ เพราะกระทรวงเกษตรฯ ขึ้นทะเบียนไว้หมดแล้วกว่า 99 % อาจจะมีส่วนเก็บตกบ้างนิดหน่อยเท่านั้น
“วันที่ 10 เม.ย. จะสรุปมาตรการได้แน่นอน หากจ่ายครอบครัวละ 15,000 บาท เหมือนอาชีพอิสระ 9 ล้านครัวเรือน ก็จะใช้เงินไม่เกิน 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ไม่ได้ใช้เงินของธนาคาร โดยการจ่ายเงินจะจ่ายผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นลูกค้ามีบัญชีกับธนาคารทั้งหมด เหลือ 4 แสนครัวเรือน ที่ไม่มีบัญชี”นายอภิรมย์ กล่าว
นายอภิรมย์ กล่าวว่า ในหลักการการช่วยเหลือคงไม่น่าได้เงินมากกว่า 15,000 บาทต่อครัวเรือน เพราะเป็นมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบ และเกษตรกรแต่ละผลผลิต เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ก็มีมาตรการช่วยเหลือโดยเฉพาะอยู่แล้ว เช่นมาตรการประกันรายได้ ซึ่งเงินช่วยเหลือทั้งหมด จะอยู่ในวงเงิน 6 แสนล้านบาท ตามกรอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท