กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากรร่วมกันยกระดับอำนวยความสะดวกการเริ่มต้นธุรกิจโดยรวมขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคล และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้อยู่ในขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นการลดขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นการผลักดันอันดับของไทยใน Doing Business ด้านการเริ่มต้นธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เริ่มเปิดให้บริการผ่านการยื่นแบบ walk in ตั้งแต่ 20 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า จากรายงานผลการจัดอันดับ ความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก หรือ Ease of Doing Business ปี 2020 ในส่วนของการเริ่มต้นธุรกิจ (Starting a Business) ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเจ้าภาพหลักในการพัฒนานั้น ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 47 จาก 190 ประเทศ ซึ่งมีขั้นตอนและระยะเวลาในการเริ่มต้นธุรกิจ 5 ขั้นตอน ใช้ระยะเวลา 6 วัน ได้แก่ 1) การจองชื่อบริษัท 2 วัน 2) การชำระเงินทุนเข้าธนาคาร 1 วัน 3) การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท 1 วัน 4) การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 วัน และ 5) การขึ้นทะเบียนนายจ้าง-ลูกจ้าง 1 วัน
อธิบดี กล่าวต่อว่า “กรมฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาระบบบริการเพื่อสนับสนุนการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศให้ดียิ่งขึ้น จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับกรมสรรพากรเพื่ออำนวยความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจ โดยรวมขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคลและการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในขั้นตอนเดียว ทำให้ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะดำเนินการดังกล่าวสามารถกรอกข้อมูลที่ “แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านกรมพัฒนาธุรกิจการค้า” และนำมายื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสำนักงานพาณิชย์จังหวัด โดยถือว่านิติบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ได้รับจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ จะเริ่มเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563 เป็นต้นไป”
“จากการบูรณาการขั้นตอนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลและการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในข้างต้นแล้ว ที่ผ่านมากรมฯ ยังได้อำนวยความสะดวกการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่พร้อมกับขึ้นทะเบียนประกันสังคมในคราวเดียวกันซึ่งเปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2562 โดยห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนและบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจะถือว่าขึ้นทะเบียนเป็นนายจ้างโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้การพัฒนาดังกล่าวช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเริ่มต้นธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ และการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งจะส่งผลในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการที่ดีขึ้น”
“นอกจากนี้ การพัฒนารูปแบบการให้บริการยังเป็นการยกระดับงานบริการของส่วนราชการแบบบูรณาการ ซึ่งจะส่งเสริมบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการเริ่มต้นธุรกิจไปในทางที่ดี ก่อให้เกิดแรงจูงใจ แรงสนับสนุน และช่วยดึงดูดให้ผู้ประกอบการชาวต่างชาติมาเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย ส่งผลต่อการจัดอันดับ Ease of Doing Business ในปี 2021 ของไทยให้ดียิ่งขึ้น อันจะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนชาวต่างชาติ และการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ ในภาพรวมให้ก้าวหน้ามั่นคง ยั่งยืน และมีเสถียรภาพต่อไป” อธิบดี กล่าวในท้ายที่สุด