นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้น กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เล็งเห็นความสำคัญในการร่วมเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงเกิดความร่วมมือด้านกิจการเพื่อสังคมของกลุ่ม ปตท. เพื่อสู้ภัยโควิด-19 ครั้งนี้ในหลายด้านอย่างเป็นรูปธรรม
ภารกิจที่สำคัญคือการระดมสรรพกำลังความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงานแก่บุคลากรทางการแพทย์ ในด้านงานวิจัย พัฒนา จัดหา และผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอ รวมถึงการจัดหาแอลกอฮอล์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน โดยมีงานสำคัญเร่งด่วน อาทิ การสนับสนุนเสื้อกาวน์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งผลิตจากเม็ดพลาสติกของกลุ่ม ปตท. พร้อมมอบผ้าสปันบอนด์เคลือบสารกันน้ำและสารคัดหลั่ง สำหรับผลิตเป็นชุดป้องกันส่วนบุคคล PPE การผลิตหมวกอัดอากาศความดันบวก PAPR การผลิตเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อแบบแรงดันลบ เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อ การพัฒนาห้องตรวจวินิจฉัยโรคแบบป้องกันเชื้อ การผลิตกล่องป้องกันเชื้อฟุ้งกระจาย สำหรับกระทำหัตถการของบุคลากรทางการแพทย์ การผลิตและสนับสนุน Face Shield และการร่วมสนับสนุนของภาคีเครือข่าย อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ สถาบันวิทยสิริเมธี ในการวิจัยพัฒนาชุดตรวจเชื้อ COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพสูงแบบการตรวจจับสารทางพันธุกรรม ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวเหล่านี้ได้ทยอยส่งมอบให้หน่วยงานสาธารณสุข โรงพยาบาลที่ขาดแคลน รวมถึงในพื้นที่ตั้งสถานประกอบการทั่วประเทศ อย่างต่อเนื่อง และบางส่วนอยู่ระหว่างการดำเนินงานและจะทยอยส่งมอบต่อไป
รวมไปถึงการเร่งจัดหาแอลกอฮอล์โดยทันที หลังจากกรมสรรพสามิตผ่อนผันให้โรงงานผลิตเอทานอลเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง สามารถจำหน่ายเป็นแอลกอฮอล์เพื่อทำความสะอาดได้ ปตท. ถึงแม้ไม่มีโรงเอทานอลเป็นของตนเอง ก็ได้เร่งจัดหาแอลกอฮอล์ เพื่อมอบให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์และโรงพยาบาลกว่า 170 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ หน่วยงานทางการแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข วิทยาลัยแพทย์ รวมถึงโรงพยาบาลภายใต้สังกัดกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ซึ่งบางแห่งได้เปิดเป็นโรงพยาบาลสนาม อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ทำการกระจายสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงผ่านการแจกฟรีในรูปแบบแอลกอฮอล์เจล และจัดหาแอลกอออล์ทำความสะอาดมาจำหน่ายในราคาต้นทุน ผ่านบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ณ สถานีบริการน้ำมัน พร้อมมอบแก่โรงพยาบาลในพื้นที่สถานประกอบการทั่วประเทศ รวมการจัดหาและส่งมอบแอลกอฮอล์ของกลุ่ม ปตท. ทั้งสิ้นกว่า 160,000 ลิตร และล่าสุด ปตท. ยังได้จัดหาแอลกอฮอล์ทางการแพทย์เพิ่มเติม สำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 ร่วมกับกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อเข้าถึงประชาชนในท้องถิ่น ผ่านโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานบริการสาธารณสุขชุมชนกว่า 9,863 แห่ง ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังรวมถึงการสนับสนุนเงินบริจาคเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และส่งมอบหน้ากากอนามัยจากผ้าเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุทั่วประเทศ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ที่ผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
นอกจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วนแล้ว กลุ่ม ปตท. ยังอยู่ระหว่างพัฒนาอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการสนับสนุนภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์และดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานดังกล่าว สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี กลุ่ม ปตท. จึงตั้ง “คณะกรรมการกิจการเพื่อสังคม กลุ่ม ปตท. เพื่อสู้ภัย COVID-19” เพื่อผลักดันการดำเนินงานสำคัญครั้งนี้ เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นและร่วมกันดำเนินภารกิจ ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติจริง สามารถเห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป อีกทั้ง ปตท. ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ผ่านการลดราคาขายปลีกเอ็นจีวี (NGV) ให้กับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะที่มีบัตรส่วนลดในอัตรา 3 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกกลุ่มรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.62 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีบำรุงท้องถิ่น) เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2563 และคงราคา NGV สำหรับรถทั่วไปไว้ที่ 15.31 บาท/กก.ตั้งแต่ 16 มีนาคม – 15 สิงหาคม 2563
“อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ปตท. ยังคงมีภารกิจสำคัญคือ การดูแลความมั่นคงทางพลังงาน เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนจะมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอในช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะในเรื่องของการดูแลควบคุมระบบที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงหลักที่นำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นสารตั้งต้นของอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่ง กลุ่ม ปตท. ขอเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญของประเทศ ที่จะร่วมสนับสนุนในการแก้ปัญหาและก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปพร้อมกับคนไทยทุกคน” นายชาญศิลป์ กล่าว