นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฤดูการผลิต 2563 วงเงิน 313.98 ล้านบาท มีพื้นที่เป้าหมาย 3 ล้านไร่ และให้ สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด โดย สำนักงาน คปภ.กำหนด รอบประกันภันออกเป็น 2 รอบ คือ รอบที่ 1 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน รับสมัคร ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 และรอบที่ 2 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2564
ส่วนการกำหนดแบบและข้อความกรมธรรม์ มี 3 แบบกรมธรรม์ ดังนี้
1.กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2.กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์)
3.กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม
สำหรับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการมี 17 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เจพีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ จำกัด สาขาประเทศไทย บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จำกัด (มหาชน)
อัตราเบี้ยประกันภัย พื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (พื้นที่ 2.8 ล้านไร่) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย ในส่วนความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 160 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 96 บาทต่อไร่ และอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม และธ.ก.ส.อุดหนุนอีก 64 บาทต่อไร่
ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป (พื้นที่ 1 แสนไร่) รัฐบาลอุดหนุน 96 บาทต่อไร่ และอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม และเกษตรกรจ่ายเอง 64 บาทต่อไร่ สำหรับอัตราเบี้ยประกันภัยความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย โดยถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 110 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 90 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัต์ ปีการผลิต 2563 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า สำหรับความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด ตามความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 750 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่ โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทำประกันภัย (ส่วนที่ 1 + ส่วนที่ 2) ในคราวเดียวกัน จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,740 บาทต่อไร่ และจะได้รับความคุ้มครองจากภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 870 บาทต่อไร่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ที่ ครม. ได้อนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว ย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงได้จัดทำสื่อความรู้ เผยแพร่ผ่าน Application “กูรูประกันข้าว” ซึ่งจะมีทั้งความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์