ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
พลังงาน / สิ่งแวดล้อม ย้อนกลับ
ประวิตร ลุยตะวันออกแก้น้ำแล้ง/พร้อมรับน้ำฝนป้อนอีอีซี
17 พ.ค. 2563

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก พร้อมรับฟังบรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำและมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งฯ จากเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำของอ่างเก็บน้ำประแสร์ รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหา พร้อมแผนการบริหารจัดการน้ำรับมือภัยแล้งในระยะต่อไปจากอธิบดีกรมชลประทาน รับฟังบรรยายสรุปความต้องการและความจำเป็นในการใช้น้ำของพื้นที่ EEC ในปัจจุบันและอนาคตจากผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และรับฟังบรรยายสรุปผลกระทบและความเสี่ยงของภาคอุตสาหกรรมที่อาจจะเกิดจากสถานการณ์ภัยแล้ง จากนายกสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทยและพันธมิตร

ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อติดตาม รับทราบข้อมูล รวมถึงปัญหาและอุปสรรคข้อติดขัดต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กำหนด เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแผนดำเนินการแก้ไขสถานการณ์แล้งที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกให้สำเร็จลุล่วงพร้อมเตรียมการเข้าสู่ฤดูฝน โดยเฉพาะจังหวัดระยอง ขณะนี้ไม้ผลพืชเศรษฐกิจที่สำคัญกำลังออกสู่ตลาด ภาคอุตสาหกรรมก็ต้องเร่งกำลังการผลิต รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ซึ่งทุกภาคส่วนกำลังเตรียมความพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังสถานการณ์โควิดเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้ฟื้นคืนโดยเร็ว ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งจัดการความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำที่ยังมีอยู่ แม้ว่าฝนตกลงมาบ้างแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งเกิดผลกระทบกับภาคประชาชนน้อยที่สุด ทุกหน่วยงานต้องเร่งเดินหน้าดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ ทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และโครงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค รวมทั้งโครงการเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับเก็บกักน้ำในฤดูฝนปี 2563 สำหรับพื้นที่ปลูกไม้ผลยืนต้น และพื้นที่ประกาศเขตภัยแล้งครอบคลุม 75 จังหวัด รัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 8,847 โครงการ โดยในพื้นที่จังหวัดระยอง จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี มีโครงการดังกล่าวรวม 195 โครงการ จะทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 15 ล้านลูกบาศก์เมตร ขอให้ดำเนินการโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งรัฐบาลมีความห่วงใยมุ่งแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและภาคอุตสาหกรรมน้อยที่สุด

รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการใน 3 ส่วนหลัก โดยมอบให้กรมชลประทานวางแผนและบริหารจัดการน้ำในระบบโครงข่ายอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ให้เพียงพอถึงฤดูแล้งหน้า พร้อมทั้งสำรวจหาสาเหตุของปริมาณน้ำที่สูญเสียไปทางตอนบน ที่ส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ น้อยไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนการนิคมอุตสาหกรรมฯ ให้วางแผนและจัดหาแหล่งน้ำสำรองของตนเอง พร้อมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ของการจัดการน้ำหลัก 3Rs ได้แก่ ลดการใช้ การใช้ซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ ที่สำคัญขอให้ดำเนินการด้าน CSR ต่อสังคมชุมชนที่เสียสละแบ่งปันน้ำอย่างต่อเนื่อง และมอบให้ สทนช. ติดตามและเร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ำให้เพียงพอทันการเติบโตและความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วนให้เป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และหากมีโครงการสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการเร่งด่วน ให้พิจารณาเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ทันที พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานเตรียมการรับมือฤดูฝนที่จะถึงนี้ โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อเก็บกักน้ำต้นทุน ที่ไม่เพียงแต่แหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ให้รวมถึงแหล่งน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก และบ่อบาดาล รวมทั้งให้ดำเนินการกักเก็บน้ำช่วงฤดูฝนไว้ให้มากกว่าเดิมเพื่อนำมาใช้ในฤดูแล้ง

ด้าน ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า บ่อน้ำบาดาลที่มีศักยภาพในการนำน้ำมาใช้ในฤดูฝนปี 2563 ภาคตะวันออก มีจำนวนทั้งสิ้น 1,197 แห่ง ศักยภาพการผลิตน้ำบาดาล 12 ล้าน ลบ.ม./เดือน แบ่งเป็นเพื่อสนับสนุนน้ำอุปโภค-บริโภค 1,158 แห่ง เพื่อการเกษตร 539 แห่ง ขณะที่โครงการที่รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภค และโครงการเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับกักเก็บน้ำในฤดูฝน ปี 2563 ในพื้นที่ จาก EEC รวม 195 แห่ง ประกอบด้วย ขุดเจาะบ่อบาดาล จัดหาแหล่งน้ำผิวดิน ซ่อมแซมระบบประปา วางท่อน้ำดิบ เชื่อมโยงแหล่งน้ำ ฟื้นฟูแหล่งน้ำเดิม ก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ และก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่พร้อมระบบ ดำเนินการโดย 7 หน่วยงาน ได้แก่ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค กรมการข้าว กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แบ่งเป็น จังหวัดระยอง 42 แห่ง เมื่อแล้วเสร็จจะมีส่งผลให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 0.55 ล้าน ลบ.ม./ปี จังหวัดฉะเชิงเทรา 140 แห่ง ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 2.77 ล้าน ลบ.ม./ปี และ จังหวัดชลบุรี 13 แห่ง ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 10.92 ล้าน ลบ.ม./ปี

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
21 เม.ย. 2568
“กีฬา ... กีฬา ... เป็นยาวิเศษ” ส่วนหนึ่งของคำประพันธ์ที่นำมาร้องกันในสมัยก่อน หรืออาจจะร่วมถึงในยุคสมัยนี้ด้วยก็คงไม่ผิด และแน่นอนความหมายของนั้นก็คือ การเล่นกีฬา การออกกำลังกายนั้น มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเปรียบเสมือนเกราะป้องกันโรคภัยของเรานั่นเอ...