"ตอนนี้การระบาดของไวรัสโควิด-19ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบมาก สศค.จึงจะใช้ตัวเลขประมาณเศรษฐกิจของ สศช.ไปก่อน และจะดูว่าจะกลับมาแถลงประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจได้เหมือนเดิมเมื่อไร" นายลวรณ กล่าว
นายลวรณ กล่าวว่า ขณะนี้ทั้ง สศช. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และคลัง มองเศรษฐกิจไทยทิศทางเดียวกันว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19อย่างมาก ซึ่งทุกแห่งก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส2/2563จะขยายตัวติดลบมากที่สุดของปี เพราะมีการล็อกดาวน์ประเทศ ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องปิดดำเนินการ แต่เชื่อว่าไตรมาส3และ4/2563จะขยายติดลบน้อยกว่าไตรมาส2เพราะเริ่มการคลายล็อกทางเศรษฐกิจ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส1/2563ที่ สศช. ประกาศออกมาขยายตัวติดลบ1.8% ดูเหมือนน้อย เพราะรัฐบาลมีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศและเศรษฐกิจเมื่อวันที่18มี.ค. 2563แต่ในไตรมาส2เศรษฐกิจจะขยายติดตัวลบมากขึ้น ส่วนเป็นเท่าไรต้องรอตัวเลขของ สศช.ประกาศเป็นทางการ ซึ่ง สศช.ประมาณการว่าทั้งปีเศรษฐกิจจะขยายตัวติดลบ5-6%หรือ ค่ากลางติดลบ5.5%
สำหรับกรณี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย0.25%จาก0.75% เหลือ0.50%ต่อปีนั้น เพราะ กนง.เห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม โดย กนง. คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวติดลบ5.3%ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไปควบคู่กับการออกมาตรการทางการคลังที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง
นายลวรณ กล่าวว่า คลังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังจากที่สถานการณ์การระบาดเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแต่ละมาตรการจะต้องดูเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติมากที่สุด ส่วนข้อเสนอของเอกชนที่เสนอให้คลังออกมาตรการชิมช้อปใช้และมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้นั้น สศค.เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะตอนนี้ยังมีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการประกาศเคอร์ฟิว มีการห้ามเดินทาง และการเปิดห้างสรรพสินค้าก็ยังมีข้อจำกัด การออกมาตรการดังกล่าวตอนนี้จึงไม่เกิดผลดีกับเศรษฐกิจ
"การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคลังยืนยันว่าเมื่อการระบาดโควิด-19คลี่คลาย จะมีมาตรการดูแลเศรษฐกิจออกมาอย่างแน่นอน เพราะยังมีความสามารถทำได้ แต่ยังไม่ดำเนินการตอนนี้เพราะสถานการณ์ยังไม่ปกติ มาตรการที่ดำเนินการช่วงนี้จึงเป็นมาตรการเยียวยาเป็นหลัก ยังไม่ใช่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ" นายลวรณ กล่าว