นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมในไตรมาส 1 ของปี 2563 พบว่าการจ้างงานลดลงชัดเจน 0.7% ส่วนมากเป็นการจ้างงานภาคเกษตรกรรม 3.7% โดยประเมินว่ามีความเสี่ยงที่แรงงานจะถูกเลิกจ้างสูงถึง 8.4 ล้านคน ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19
อย่างไรก็ตามแต่หากสถานการณ์ดีขึ้นแบบนี้ มีการคลายล็อกดาวน์ตามแผนการผ่อนปรนในแต่ละเฟส จะทำให้ตลอดทั้งปีอัตราว่างงานจะอยู่ที่ 2 ล้านคน จากปกติอัตราว่างงานมีเพียงปีละ 4-5 แสนคนเท่านั้น และปรับตัวใกล้เคียงกับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ส่วนอีกปัจจัยที่น่ากังวลคือ แต่ละปีจะมีเด็กจบใหม่ 5.2 แสนคน ซึ่งตลาดแรงงานอาจรองรับได้ไม่เพียงพอ
สำหรับสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ตอนนี้สัดส่วนอยู่ที่ 78.9% ต่อจีดีพี สูงที่สุดในรอบ 14 ไตรมาส หรือประมาณ 3 ปีกว่า ๆ แต่ปีนี้มีปัจจัยโรคโควิด-19 ทำให้ขนาดเศรษฐกิจลดลง ครัวเรือนกู้เงินประกอบธุรกิจ เช่าซื้อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ลดลง แต่กู้เงินอุปโภคบริโภคมากขึ้นแทน ซึ่งในระยะยาวน่าเป็นห่วง ส่วนอัตราหนี้เสีย หรือ NPL ตอนนี้อยู่ที่ 3.23% ต่อสินเชื่อรวม ปรับตัวสูงขึ้นจาก 2.9% ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามโดยกลุ่มเด็กจบใหม่มีพฤติกรรมก่อหนี้เกินตัวชัดเจน เพราะเน้นการใช้จ่ายเงินเพื่อสันทนาการ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ท่องเที่ยว ดูแลความสวยความงามของตัวเอง พอมีรายได้เพิ่ม ก็ช็อปปิ้งมากขึ้น ออมเงินต่ำ และยังพบพฤติกรรมก่อหนี้ซ้ำ นำเงินที่กู้เพื่อประกอบอาชีพและการศึกษาไปใช้ในการบริโภค ถ้าไม่สามารถชำระหนี้ได้จะไปกู้เงินอีกที่มาจ่าย
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี63 ประชาชนมีความเครียดและความกังวล เพราะสัดส่วนการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ขยายตัวถึง 3% โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขยายตัว 5.5%