นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมียอดการส่งออกมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มีการจ้างแรงงานกว่า 1 ล้านคน รวมถึงยอดขอตั้งประกอบโรงงานใหม่และขยายกิจการโรงงานประเภทไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบ 5 เดือนแรกของปี 62 กับปี 63 พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงาน เป็น 53 โรงงาน และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น จาก 9,372 คน เป็น 29,064 คน
ทั้งนี้จากการสอบถามนักลงทุนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นักลงทุนชื่นชมการรับมือรัฐบาลไทยสามารถรับมือกับโควิดได้ดี ส่งผลเอื้อประโยชน์ให้ภาคอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มียอดการส่งออกเพิ่มมากขึ้น 5-10% นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนที่ทำธุรกิจภายในประเทศอยู่แล้วมีแผนจะขยายการลงทุนภายในปีนี้เพิ่มขึ้นอาทิเช่น ซัมซุง มิตซูบิชิ โตชิบา ซีเกต ไซโจเด็นกิ เป็นต้น ส่วนกิจการที่มีการย้ายฐานการผลิตนั้น การการตรวจสอบพบว่าเป็นการปรับแผนทางธุรกิจที่วางไว้เดิมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่ยังยืนยันยึดไทยเป็นฐานการผลิตและมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และยังคงมีการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่าตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน บริษัทต่างชาติและไทยที่ได้รับส่งเสริมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจริยะ อาทิ ซัมซุง (เกาหลี) โตชิบา ( ญี่ปุ่น / จีน) ไมเดีย ( จีน) มิตซูบิชิ ( ญี่ปุ่น) อิเล็กโทรลักส์ ( สวีเดน) แอลไลแอนส์ ลอนดรี้ ( สหรัฐ) แดยู ( เกาหลี) และ ซัยโจ เด็นกิ (ไทย) โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ตู้แช่ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 5 เดือนแรกของปี 2562 โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 มียอดคำขอ 62 โครงการ มูลค่ากว่า 26,764 ล้านบาท ประกอบด้วยอุตสาหกรรมประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้า ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบสมาร์ท เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น หมวดผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วงจรรวม หรือ IC และแผงวงจรพิมพ์ หรือ PCBA เซลล์แสงอาทิตย์