พลเอก อนันตพร กล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ ปตท. ผู้ปฏิบัติงานภายใต้นโยบายของกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีการดำเนินงานด้านธุรกิจพลังงานและธุรกิจค้าน้ำมันอย่างครบวงจร มายาวนานกว่า 30 ปี ได้นำความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานในอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงสร้างมาตรฐานการดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจเสริมครบวงจรของไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ผ่าน AICA และ OBA ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการเป็นแหล่งเรียนรู้และศูนย์ฝึกอบรมแล้ว ความสวยงามและทันสมัยของสถานที่ทั้ง 2 แห่ง จะเป็นจุดปักหมุดเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอยุธยาฝั่งตะวันออกได้อีกด้วย
นอกจากนี้ คุณเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)ได้เน้นว่า AICA ถูกจัดตั้งเพื่อให้คนไทยได้รับบริการและดื่มกาแฟที่มีรสชาติตามมาตรฐานคาเฟ่อเมซอนในราคาที่เข้าถึงได้ และมีการใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การคัดเลือกและรับซื้อเมล็ดกาแฟที่ได้คุณภาพเพื่อนำมาคั่วให้ได้ตามมาตรฐานที่ดีเยี่ยม และนำไปผลิตเป็นเครื่องดื่มจนถึงมือลูกค้า AICA ประกอบด้วย โรงคั่วกาแฟที่ผ่านการรับรองระบบมาตรฐาน วิธีการปฏิบัติที่ดีในการผลิตอาหารตามมาตรฐานสากล (Good Manufacturing Practice: GMP Codex) มีกำลังการผลิต 2,700 ตันต่อปี, ศูนย์ฝึกอบรมบาริสต้า และแหล่งถ่ายทอดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กาแฟ
โดยส่วนหนึ่งของเมล็ดกาแฟที่ใช้เป็นวัตถุดิบได้มาจากความร่วมมือกับโครงการหลวงปีละประมาณ 100,000 กิโลกรัม และได้สนับสนุนในการปลูกกาแฟและรักษาผืนป่าเพื่อไร่กาแฟใน “โครงการวิจัยและพัฒนาการปลูกกาแฟและผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งการปลูกกาแฟมีความก้าวหน้าไปกว่า 70% และคาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ภายในปี 2561 เพื่อให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคงและพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนในที่สุด ทั้งยังจะเข้าไปสนับสนุนให้ชุมชนจัดตั้งสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชนธุรกิจเมล็ดกาแฟในโครงการ Social Enterprise โดยจะเริ่มจากการรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบ ซึ่งตั้งเป้าหมายจะรับซื้อที่ 10% ของปริมาณเมล็ดกาแฟที่ ปตท. ต้องการทั้งหมดภายใน 2 ปีนี้