นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองแผนงาน และโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข แก้ปัญหาการระบาดของของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ได้พิจารณากำหนดกรอบวงเงินการใช้งบประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท จากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ตามแนวทางที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดแล้ว ซึ่งมีกรอบการใช้เงิน 5 กลุ่ม ดังนี้
1. เพิ่มค่าตอบแทน อสม. คนละ 500 บาท จำนวน 1,050,000 คน เป็นเวลา 19 เดือน วงเงิน 10,000 ล้านบาท
2. ค่าใช้จ่ายการตรวจ รักษา ผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วย โควิด โดย สปสช.(สิทธิบัตรทอง) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ตามสิทธิที่มีการประกาศไปแล้วให้สิทธิคนไทยทุกคน ตรจรักษาโควิด-19 ฟรี ในจำนวนนี้จะต้องเตรียมไว้รองรับประชาชนซึ่งถูกเลิกจ้างเป็นผู้ว่างงาน และจะมีการเปลี่ยนสิทธิประกันสังคมมาใช้สิทธิบัตรทอง เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,000,000 คน ด้วย
3. ค่าใช้จ่ายที่ต้องสำรองไว้กรณีเกิดเหตุระบาดในช่วง 16 เดือน จัดหา วัคซีน ยา เวชภัณฑ์ และเบี้ยเลี้ยงสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ค่าใช้จ่ายในการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศไทยหรือค่าที่พัก State Quarantine การพัฒนาระบบไอที บริการประชาชนและผู้ป่วยที่จะใช้บริการของสถานพยาบาลด้วยความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและติดเชื้อ วงเงิน 10,000 ล้านบาท
4. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงพยาบาลทุกระดับ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ รวมถึง โรงพยาบาลเฉพาะทาง และ ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อรองรับผู้ป่วย และการปรับปรุงระบบงานต่างๆ เพื่อให้การบริการประชาชน มีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น วงเงิน 10,000 ล้านบาท
5. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาความสามารถทางการแพทย์และระบบสาธารณสุข ที่อยู่นอกกระทรวงสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย และหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ อื่นๆ เช่น โรงพยาบาลกองทัพ โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลของกรุงเทพมหานคร เป็นต้น วงเงิน 5,000 ล้านบาท
นายอนุทิน กล่าวว่า การกำหนดกรอบวงเงินทั้ง 5 ข้อดังกล่าวนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดยยึดแนวทางที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนด มีเป้าหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และทำให้ประชาชนปลอดภัยได้มากที่สุด
“เงิน 45,000 ล้านบาท ที่สภาพัฒน์ กำหนดให้ใช้ในการพัฒนาระบบสาธารณสุข เป็นเงินที่ไม่มากเลย เมื่อนำมาจัดกรอบวงเงินตามภารกิจแล้ว ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ สะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า เงินจำนวนนี้ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ ดูแล ป้องกัน ควบคุมโรคทุกพื้นที่และบริการประชาชนทั้งประเทศ จนถึง กันยายน 2564 เพราะจะต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้ง โรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ ไม่ให้เกิดการขาดแคลน เช่นในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากมีการระบาดขึ้นมาอีก หลังจากที่มีการเปิดให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และผู้ประกอบธุรกิจสาขาต่างๆ จะกลับมาให้บริการตามปกติ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เรามีบทเรียนมาแล้ว ต้องเตรียมความพร้อมไว้รับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ให้ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน”
นายอนุทิน กล่าวว่า เท่าที่ทราบจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการ หน่วยบริการต่างๆ ทั้งในกระทรวงและนอกกระทรวงสาธารณสุข เสนอโครงการขึ้นมาจำนวนมาก เกินวงเงิน 45,000 ล้านบาทค่อนข้างมาก ซึ่งทุกโครงการมีความเกี่ยวข้องกับการป้องกัน ควบคุม ตรวจรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สร้างความหนักใจให้คณะกรรมการที่ต้องปรับลดวงเงินหรือตัดโครงการบางโครงการ ตัดเครื่องมือแพทย์บางรายการออกไป เพราะโครงการเหล่านั้นมีเป้าหมายเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย และสร้างสุขภาพคนไทยให้แข็งแรงปลอดจากโควิด-19
ดังนั้น หากมีความจำเป็นจะไปปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อขอแนวทางในการเพิ่มสัดส่วนงบประมาณ ในส่วนของการแพทย์และการสาธารณสุข ซึ่งในการอภิปรายของ ส.ส. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ก็เห็นด้วยว่าควรจะเพิ่มงบประมาณในส่วนของการแพทย์และการสาธารณสุขเพิ่มขึ้น
“หากไม่สามารถเพิ่มได้ใน พ.ร.ก.เงินกู้ ก็ขอให้ ส.ส. และ ส.ว. ทุกท่าน ช่วยกันสนับสนุนภารกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณ และ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2564 ด้วย ถ้าให้เพิ่มไม่ได้ ก็ขอเพียงว่าอย่าตัด เพราะทุกบาทที่ใช้จ่ายในภารกิจการแพทย์และการสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัย เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนจริงๆ”