สายจิระโคราช-อุบลฯ รอบ 2 ระยะทางกว่า 300 กม. ใช้งบก่อสร้างกว่า 3 หมื่นล้านบาท เผยยึดสถานีจอดเดิม 34 แห่ง มีจุดตัด 131 แห่ง พร้อมเสนอ 4 ทางเลือกแก้ปัญหาจุดตัดออกแบบ คาดสรุปผลการศึกษา ม.ค. 59 เริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 60 ใช้เวลา 4 ปีแล้วเสร็จ
นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าฯนครราชสีมา เป็นประธานเปิดการประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชน (การประชุมใหญ่) ครั้งที่ 2 งานบริการที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียด โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี เพื่อนำเสนอข้อมูลความก้าวหน้าการศึกษาโครงการในด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษาในพื้นที่ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการสัมมนากว่า 200 คน
นายวรรณนพ ไพศาลพงศ์ รองวิศวกรใหญ่ด้านก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ได้นำเสนอแนวเส้นทางโครงการ จากสถานีชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี มีระยะทางประมาณ 305 กิโลเมตร (กม.) โดยใช้แนวเส้นทางรถไฟเดิม เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพที่เหมาะสมทั้งแนวทางราบและทางดิ่ง สามารถปรับองค์ประกอบให้รองรับกับความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. โดยไม่ต้องมีการกันเขตทางรถไฟเพิ่มเติม และใช้ตำแหน่งสถานีที่ตั้งตามสถานีเดิม จำนวนทั้งหมด 34 สถานี (ไม่รวมสถานีชุมทางถนนจิระ) เนื่องจากมีจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่เข้าถึงและสะดวกสบายในการเดินทางทั้งสองฝั่งของระบบราง และมีจุดตัดทั้งหมด 131 จุด
มีแนวทางแก้ปัญหาจุดตัดทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. ถนนยกระดับข้ามทางรถไฟในแนวตรง (Overpass) 2. ถนนยกระดับข้ามทางรถไฟในลักษณะรูปตัวยู (U-Shape Overpass) 3. ท่อเหลี่ยมลอดใต้ทางรถไฟ (Box Culvert) 4. ยกระดับทางรถไฟ (Elevated Railway) และก่อสร้างรั้วกั้นตลอดแนวเขตทางรถไฟ เพื่อป้องกันคนหรือสัตว์ข้ามทางรถไฟตัดหน้าขบวนรถ นอกจากนี้ ได้แบ่งรูปแบบการให้บริการ ได้แก่ 1. บริการรถโดยสารทางไกลด้วยขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วนขบวนรถเร็ว 2. บริการรถโดยสารทางใกล้ด้วยขบวนรถไฟท้องถิ่นและขบวนรถธรรมดา ซึ่งแนวเส้นทางเดิมส่วนใหญ่ไม่ได้พาดผ่านพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว เช่น พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ พื้นที่อุทยานแห่งชาติ และพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแต่อย่างใด จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย
สำหรับงบประมาณการก่อสร้างในเส้นทางดังกล่าวคาดว่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท จ้างที่ปรึกษาในการออกแบบเส้นทางกว่า 200 ล้านบาท หากรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ผ่านคาดว่าจะก่อสร้างได้ประมาณต้นปี 2560 ใช้เวลาในการก่อสร้าง 4 ปี