กระทรวงเกษตรฯ รุกหนักเตรียมเดินหน้า 6 มาตรการปฏิรูปยางพารา เพิ่มรายได้ชาวสวนยาง เน้นลงทุนแปรรูปส่งเสริมวิจัยสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดรับเบอร์ซิตี้ ปรับกลยุทธ์การขายเจาะจีนทุกมณฑล เร่งตั้งตลาดยาง “ไทยคอม” ลดพื้นที่สวนยาง2ล้านไร่ เพิ่มใช้ยางในประเทศ
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายางแถลงเมื่อวันที่ 24มิ.ย 63 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ตามที่มีการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุมรัษฎา การยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทยและตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยาง ภาคเอกชนผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารา
ที่ประชุมได้รับทราบถึงสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 3–4% ต่อปี จากพื้นที่เพาะปลูกใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาด หลังจากเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกในช่วงปี 2547-2555 โดยเฉพาะผลผลิตของจีนที่ปลูกในกลุ่มประเทศ CLMV ในขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราของโลกคาดว่าจะขยายตัว 4-5% ต่อปี ส่งผลให้ยังคงมีผลผลิตยางพาราส่วนเกินเฉลี่ยกว่า 3.5-4.5 แสนตันต่อปี และจะมีผลให้ค่าคาดการณ์สต๊อกยางพาราโลกสูงกว่า 4 ล้านตันในช่วงปี 2562- 2563 ซึ่งจะกดดันให้ราคายางพาราในตลาดโลกในช่วงปี 2563-2564 มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากปลายปี 2561 ทั้งยังเผชิญวิกฤติโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลต่อการผลิต ตลาดและราคาทั่วโลก
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯได้พิจารณาถึงสถานการณ์ปัญหาทั้งในเชิงโอกาส ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า 1.2แสนล้านบาท และส่งออกยางรถยนต์อันดับ 4 ของโลกส่งออกถุงมือยางอันดับ 2 ของโลก จึงมีมติกำหนด 6 มาตรการ ปฏิรูปยางพาราชุดแรกเพื่อตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มอลจากผลกระทบของโควิด-19 โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ชาวสวนยางและสถาบันยาง พร้อมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและแก้ไขปัญหาราคาทำให้เกิดเสถียรภาพราคายางพาราทั้งระยะสั้นและรายะยาว ตามนโยบายของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังนี้
1.มาตรการตลาดและราคา (Market & Price) เนื่องจากตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีอิทธิพลต่อราคาอ้างอิงในตลาดซื้อขายจริง โดยเฉพาะตลาดซื้อขายล่วงหน้า 4 ตลาดหลัก คือ ตลาดเซี่ยงไฮ้ โตเกียว สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดผู้ซื้อ ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก และเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก แต่มีบทบาทน้อยมากต่อการกำหนดราคาซื้อขายยางพารา จึงเห็นควรให้เร่งศึกษาหาข้อสรุปการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง (Physical Forward Market) ของยางพาราที่เรียกว่า “ตลาดไทยคอม ”(ThaiCom) ซึ่งเป็นตลาดลูกผสมแบบ ไฮบริด (Hybrid) ระหว่างตลาดซื้อขายจริง (Spot Market) กับตลาดซื้อขายล่วงหน้ า(Future Market)
โดยดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (EXIM Bank) โดยให้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่ประกอบไปด้วยผู้เขี่ยวชาญศึกษาจัดทำรายงานเสนอภายใน 90 วัน และระหว่างนี้ให้ กยท.เสนอรายงานแนวคิดเบื้องต้น (Concept paper )เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อรับทราบแนวทางนโยบาย หากเห็นชอบในหลักการ ให้คณะทำงานจัดทำรายงานขั้นสุดท้ายเสนอคณะกรรมการฯเพื่อพิจารณา ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
2.มาตรการการบริหารด้านอุปทาน (Supply Side Management) กำหนดให้ลดพื้นที่สวนยาง 2 ล้านไร่ โดยลดพื้นที่สวนยางปีละ 2 แสนไร่ เป็นเวลา 10 ปี เพื่อลดปริมาณการผลิต โดยขอการสนับสนุนไร่ละ 10,000 บาท จากรัฐบาลเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน นอกจากนี้ ให้เร่งขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศ และมอบหมาย กยท.เพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราตามความต้องการของภาครัฐและตลาดทั้งในและต่างประเทศ
3.มาตรการการบริหารด้านอุปสงค์ (Demand Side Management )เร่งขยายตลาดในจีน โดยให้ขยายการค้ายางพาราให้ครอบคลุมในทุกมณฑลของประเทศจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการขายยางพาราต่อยอดจากในอดีต ที่การค้ายางกระจุกตัวอยู่ในบางมณฑล รวมทั้งการขยายตลาดหลักอื่นๆ และเปิดตลาดใหม่ๆ โดยให้จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการค้ายางพารากับจีนและตลาดหลักเป็นการเร่งด่วน เพื่อกำหนดแนวทางการตลาดและการขายเชิงรุกทั้งรูปแบบการค้าออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งการสร้างมาตรฐานของผลผลิตและผลิตภัณฑ์ยางพารา ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมยางพาราของไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า นอกจากนี้ยั งมีมติให้ กยท.จัดงาน “ยางพาราเอ็กซ์โปบนแพลตฟอร์มดิจิทัลเสมือนจริง (Virtual Platform) เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าและการจับคู่ธุรกิจระหว่างประเทศ
4.มาตรการส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม เร่งส่งเสริมการลงทุนโรงงานผลิตถุงมือยาง รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ในยุคนิวนอร์มอล (New Normal) จากผลกระทบของโควิด-19 โดยเร่งเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนในรับเบอร์ซิตี้ (Rubber City) และพื้นที่ใกล้แหล่งผลิตยางพารา พร้อมกับเร่งศึกษาโครงการรับเบอร์คอมเพล็กซ์ (Rubber Complex) ที่นครศรีธรรมราช และให้ กยท.จัดโครงการประกวดนวัตกรรมการแปรรูปยาง โดยเชื่อมโยงกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับชาวสวนยางและสถาบันยาง
5.มาตรการลดสต็อกยางพารา ให้ กยท.เสนอแนวทางการบริหารจัดการสต็อกยางพาราที่คงค้างกว่า 1 แสนตัน โดยให้เสนอต่อคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 9 กรกฎาคม ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้ส่งผลกระทบด้านราคา
6.มาตรการเพิ่มรายได้ มอบหมายให้ กยท.ขยายการส่งเสริมเกษตรผสมผสาน เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวสวนยางและสถาบันยางพารา ซึ่งเดิมพึ่งพารายได้จากยางพาราเพียงด้านเดียว และส่งเสริมการปลูกพืชที่มีอนาคตด้านตลาดและไม้เศรษฐกิจ เพื่อทดแทนสวนยางพาราที่ถึงกำหนดต้องตัดทิ้งตามนโยบายลดพื้นที่สวนยางพารา
“มาตรการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและระบบยางพาราทั้ง 6 แนวทาง เป็นมาตรการชุดแรกที่จะตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มอล พุ่งเป้าไปที่การสร้างกลไกและกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการรักษาเสถียรภาพราคาและเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง โดยเน้นย้ำให้ กยท.ดำเนินการบริหารจัดการแบบภาวะวิกฤต (Crisis management) ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและราคายางพาราทั่วโลก เพื่อความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ในการแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกับฝาก กยท.ดูแลชาวสวนยางให้ได้รับเงินเยียวยา อย่าให้ใครตกหล่นตามนโยบายของรัฐบาล และเร่งดำเนินโครงการประกันรายได้ชาวสวนยางระยะที่ 2 เป็นการด่วน หลังจากคณะกรรมการนโยบายยางพาราให้ความเห็นชอบ” นายอลงกรณ์ กล่าว