สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดเวที Recover Forum เพื่อหาแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของไทยหลังโควิด-19 โดยในวันที่ 25 มิถุนายน ได้มีการหารือถึง ทิศทางการขับเคลื่อน EEC ยุคหลังโควิด โดย ดร. คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้ให้เกียรติบรรยายและร่วมแลกเปลี่ยน
ดร. คณิศ กล่าวว่า ประเทศไทยโชคดีที่สามารถควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้อย่างรวดเร็ว ในส่วนของอีอีซีได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นกัน แต่ยังเชื่อมั่นว่าแผนการลงทุนในอีอีซียังไปถึงเป้าหมายเหมือนเดิมเพียงแค่ขยายเวลาออกไปเพื่อทดแทนในช่วงที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม จากการที่จีนฟื้นประเทศได้เร็วส่งผลให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย พลิกกลับมาดี มีการนำเข้าทุเรียน มังคุดและข้าว ส่งผลให้ผลผลิตทุเรียนและมังคุดทำรายได้ได้ดี ข้าวราคาดี เพราะเราเร่งการส่งออกทันทีที่มีโอกาส นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีการปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นได้แก่ อุตสาหกรรม 5G กลุ่มโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมสุขภาพ กลุ่มการพัฒนาเมือง ที่อยู่อาศัย ธุรกิจชุมชนที่ส่งเสริมให้เกิดสังคมสุขภาพดี เป็นต้น ซึ่งต้องมีการหารือเพื่อการต่อยอดให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อไป
สำหรับมาตรการสำคัญ ที่ได้มีการหารือกันในคณะกรรมการอีอีซีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย การหารือถึงการให้สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, การขยายตลาดส่งออกกับประเทศที่มีการฟื้นตัวเร็ว เช่น CLMV จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น, การบรรเทาปัญหาการว่างงาน การจัดหางานภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม, การฝึกอบรมทักษะความรู้ที่มีความจำเป็นในอนาคต เพื่อ Upskill - Reskill โดยถือโอกาสในวิกฤตครั้งนี้เตรียมความพร้อมด้านกำลังคนให้เต็มที่เพื่อรองรับการกลับมาเดินเครื่องของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการกำลังคนทักษะสูงขึ้น, การสนับสนุนไทยเที่ยวไทย ดึงคนไทยที่จากเดิมที่เดินทางไปเที่ยวแต่ต่างประเทศ ให้กลับมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น, การลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชน เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว การสร้างตลาดสด แหล่งน้ำ, สนับสนุนบัณฑิตอาสาพัฒนาชุมชน ในการลงพื้นที่เก็บและหาข้อมูลที่จำเป็นในการพัฒนาชุมชน การพัฒนาสำมะโนประชากร เป็นต้น
ขณะนี้ อีอีซีอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นความร่วมมือในการสร้างภาคีเครือข่ายระหว่างองค์กร หรือบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศต้นทางกับสถานเอกอัครข้าราชทูตไทยหรือสถานกงสุลใหญ่ โดยเฉพาะประเทศต้นทางที่มีความไม่สะดวกในด้านการหาบริการตรวจสุขภาพ และยังอยู่ระหว่างการหารือกับ
กระทรวงสาธารณสุข ในการร่วมกันพิจารณากำหนดประเทศต้นทางและจำนวนบุคลากรที่จะอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในประเทศได้ในแต่ละช่วงเวลา การร่วมกันกำหนดมาตรการกักกัน Flexible Alternative Quarantine ให้บุคลากรที่เดินทางเข้ามา สามารถทำภารกิจที่จำเป็นได้ ภายใต้หลักการการกักกัน การร่วมกันพิจารณาการขึ้นทะเบียนเพื่อเป็น Alternative State Quarantine เพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซี โดยมีโรงพยาบาลเอกชนที่มีบุคลากรที่สามารถสื่อสารภาษาประเทศต้นทางได้ เพื่อความสะดวกในการดูแลสุขภาพ
“ในช่วงโควิด อีอีซีได้รับผลกระทบเรื่องการทำงาน พวกเราทำงาน Work From Home กัน 100% แต่สิ่งที่เราเห็นคือ ประชุมทางไกล (VDO Conference) กลับทำให้เราเจอซีอีโอจากทั่วโลก ที่โดยสภาวะปกติเราไม่มีโอกาสได้เจอคนเหล่านั้น แต่โควิด-19 ทำให้ได้มาประชุมร่วมกันจำนวนมหาศาล เชื่อว่าการประชุมลักษณะนี้จะมีต่อไปอีกยาวนาน ซึ่งเป็นวิถีใหม่ทั่วโลก ขณะเดียวกัน สิ่งที่เราได้กลับมาจากวิกฤตครั้งนี้ คืออุตสาหกรรมใหม่ที่มีทั้ง จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เข้ามาคุยและสนใจการลงทุนเรื่องดิจิทัลมากขึ้น” เลขาฯ อีอีซี กล่าว
ที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยมีการชี้ให้เห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่หลายประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลกรวมถึงอินเดียลดการผลิตลง 90% - เกือบ 100% หากดูแลตรงนี้ได้ก็จะเป็นโอกาสของประเทศไทย แต่ต้องผ่อนคลายมาตรการด้านการส่งออกเพิ่มขึ้น และยังต้องเตรียมพัฒนากำลังคน ทั้งกำลังคนที่จะเข้ามาใหม่ รวมถึงกำลังคนที่มีอยู่เดิม ต้องได้รับการพัฒนาทักษะให้ตรงกับความต้องการในการรองรับการกลับมาเดินเครื่องของภาคอุตสาหกรรมอีกครั้ง
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวถึงแนวทางการพัฒนากำลังคน ตลอดจนให้ความมั่นใจในการผลิตกำลังคนตอบโจทย์ประเทศตามนโยบายของกระทรวง อว. ว่า ขณะนี้กระทรวง อว. ได้ดำเนินการช่วยเหลือและพัฒนากำลังคนในทุกมิติ ทั้งการร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ใช้จุดแข็งของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาออกแบบหลักสูตรเสริมทักษะ Reskill - Upskill ระยะสั้น – ระยะยาว ผ่านโครงการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศ (Reskill / Upskill / Newskill) เพื่อการมีงานทำและเตรียมความพร้อมรองรับการหางานในอนาคตหลังวิกฤตการระบาดของโควิด-19 โดย อว. สนับสนุนค่าลงทะเบียน 95% - 100% และเป็นหลักสูตรในรูปแบบ Online, โครงการจัดตั้งหน่วยรับรองมาตรฐานหลักสูตรและหน่วยฝึกอบรมเพื่อการพัฒนากำลังคนตามความต้องการของประเทศ ภายใต้มาตรการ Thailand Plus Package สำหรับสถานประกอบการ โดยผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และการจ้างงานบุคลากรตำแหน่งงานทักษะสูง ในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรม ที่มีทักษะเข้าข่ายตามประกาศกำหนด Future Skills Set หรือ ทักษะความเชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่ต้องการ ตามประกาศของ อว. สามารถยื่นขอยกเว้นภาษีได้ 1.5 - 2.5 เท่าของค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพื่อรองรับการยกระดับทักษะของบุคลากรภายในประเทศให้มีทักษะความรู้ และความเชี่ยวชาญสอดคล้องต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงเพื่อเป็นการวางระบบสนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ทั้งในรูปแบบของการจัดหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) และหลักสูตรระดับ
ปริญญา (Degree) นอกจากนี้ ในระยะ 3-6 เดือน อว. ยังได้สนับสนุนการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่หรือคนว่างงานลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลชุมชน เพื่อสร้างงานและให้นักศึกษามีรายได้อีกทางหนึ่งด้วย