คำพิพากษาศาลฎีกาฯ นายก อบต. สำโรง จ.ศรีสะเกษ จงใจยื่นทรัพย์สินเท็จ ป.ป.ช. ไม่แสดงเงินฝากตนเอง เมีย ลูก 12 บัญชี เงินเบิกเกินอีก 7 บัญชี ให้พ้นตำแหน่งทันที เว้นวรรคทางเมือง 5 ปี จำคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท รอลงโทษ 1 ปี ส่วนกรณีรับตำแหน่งซุก 7 บัญชี คดีขาดอายุความ
ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 10 ก.ค. 2563 เผยแพร่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้องราย นายประวิทย์ จารุรัชกุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้นกรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนายก อบต. สำโรง วาระที่ 2 ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2562 และห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 6 กันยายน 2556 จำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี รายละเอียดดังนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้นกรณีเข้ารับตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งนายก อบต.สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ วาระที่ 1 ให้พ้นจากตำแหน่งนายก อบต.สำโรง วาระที่ 2 ที่ดำรงอยู่ปัจจุบัน ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหา กับลงโทษเฉพาะกรณีพ้นจากตำแหน่ง วาระที่ 1 และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี วาระที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 81, 114, 167 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ
พิเคราะห์คำร้อง เอกสารประกอบคำร้อง และคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายก อบต.สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ วาระที่ 1 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2552 พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 ต่อมาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสำโรง วาระที่ 2 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2556 และศาลนี้มีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2562
ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่งวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2554 โดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส 7 บัญชี จำนวน 43,267.50 บาท 5,201.61 บาท 0.00 บาท 2,474.87 บาท 5,159.88 บาท 2,659.17 บาท และ 168.09 บาท รายการเบิกเงินเกินบัญชีของผู้ถูกกล่าวหา และคู่สมรส 5 บัญชี จำนวน 65,543.18 บาท 57,662.34 บาท 19,520.69 บาท 15,902.24 บาท และ 34,498.98 บาท
กรณีพ้นจากตำแหน่ง วาระที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2556โดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา คู่สมรสและบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ 12 บัญชี จำนวน 9,485.61 บาท 5,369.96 บาท 0.00 บาท 23,523.94 บาท 763,231.35 บาท 0.00 บาท 7,381.28 บาท 401,999.92 บาท 5,332.44 บาท 139,632.50 บาท 309.92 บาท 270.16 บาท รายการเบิกเงินเกินบัญชีของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส 6 บัญชี จำนวน 25,560.61 บาท 37,151.52 บาท 10,175.11 บาท 4,979.29 บาท 53,123.52 บาท 5,442.77 บาท และรายการเงินกู้ของคู่สมรส 1 บัญชี จำนวน 376,450 บาท
และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี วาระที่ 1 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 โดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา คู่สมรสและบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ 10 บัญชี จำนวน23,430.72 บาท 5,438.70 บาท 0.00 บาท 1,113.51 บาท 347,238.59 บาท 0.00 บาท 24.42 บาท 5,400 บาท 14,174.59 บาท และ 213.10 บาท รายการโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ของคู่สมรส 1 รายการ รายการเบิกเงินเกินบัญชีของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส 5 บัญชี จำนวน 63,630.02 บาท 28,750.89 บาท และ 30,953.81 บาท 18,079.27 บาท และ 28,310.44 บาท และรายการกู้เงินธนาคาร 2 บัญชี จำนวน 130,750 บาท และ196,717.55 บาท_
คดีนี้ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง วาระที่ 1 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2554 แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องและได้ตัวผู้ถูกกล่าวหามายังศาลเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2561 จึงเกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันถือเป็นวันที่กระทำความผิด คดีส่วนอาญาจึงขาดอายุความแล้ว สิทธินำ คดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6), 185 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 3560 มาตรา 8 วรรคสาม ส่วนมาตรการบังคับทางการเมืองเป็นการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลและไม่อาจแยกออกจากโทษทางอาญาได้ เมื่อคดีส่วนอาญาขาดอายุความแล้ว จึงไม่อาจนำมาตรการทางการเมืองตามมาตรา 34 มาบังคับแก่ผู้ถูกกล่าวหากรณีเข้ารับตำแหน่ง วาระที่ 1 ได้
ส่วนกรณีพ้นจากตำแหน่ง วาระที่ 1 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องโดยไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ได้แก่ รายการเงินฝากธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา คู่สมรสและบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ 12 บัญชี รายการเบิกเงินเกินบัญชีของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส 6 บัญชี และรายการเงินกู้ของคู่สมรส 1 บัญชี รวมแล้วเป็นเงินจำนวนมาก ที่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อพนักงานไต่สวนหลายประการโดยมีประเด็นหลักว่า สมุดเงินฝากธนาคารของผู้ถูกกล่าวหาสูญหาย และไม่ได้ใช้เดินบัญชีนานแล้วจึงไม่ทราบว่ามีเงินในบัญชีจำนวนเท่าใด ส่วนบัญชีเงินฝากของคู่สมรส คู่สมรสเปิดบัญชีเพื่อประกอบธุรกิจค้าขายทราย อันเป็นธุรกิจครอบครัวของคู่สมรส ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงไม่อาจทราบรายละเอียด สำหรับบัญชีของบุตรทั้งสองนั้น เปิดบัญชีเพื่อนำเงินเข้าให้บุตรทั้งสองใช้จ่ายในการศึกษา จึงไม่ทราบว่ามีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเท่าใดนั้น เห็นว่า แม้จำนวนเงินบางบัญชีมีน้อยหรือไม่มีเหลืออยู่ในวันที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน แต่ก็มีหลายบัญชีที่มีเงินอยู่ในบัญชีหลายแสนบาท และยังคงมีรายการเดินบัญชีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนการประกอบธุรกิจค้าขายทราย กลับปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงว่าตนมีรายได้จากการประกอบธุรกิจค้าขายทราย 5,000,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ การที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยื่นรายการทรัพย์ดังกล่าวมาย่อมได้รับประโยชน์เพราะไม่ต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สินโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง วาระที่ 1 มีผลห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ตามมาตรา 34 วรรคหนึ่งเมื่อผู้ถูกกล่าวหายังคงดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสอง และการกระทำของผู้ถูกกล่าวหายังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่ง วาระที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
สำหรับกรณียื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสำโรง วาระที่ 1 นั้น เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 ซึ่งมิได้กำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำ แหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี อันเป็นกรณีที่บทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้กระทำการนั้นจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง
พิพากษาว่า นายประวิทย์ จารุรัชกุล ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตำแหน่งนายก อบต.สำโรง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ วาระที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสำโรง วาระที่ 2 ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสอง และห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 6 กันยายน 2556 ซึ่งเป็นวันที่พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสำโรง วาระที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดกรณีพ้นจากตำแหน่ง วาระที่ 1 จำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก. (คดีหมายเลขแดงที่ อม.233/2562 วันที่ 12 กันยายน 2562)