ความสัมพันธ์ของ 3 ป.นั้น ต้องนับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ธำรงวินัยแบบฉบับของทหาร แล้วในขั้วของผู้มีอำนาจไม่เคยมีการสานต่ออย่างเหนียวแน่นเพื่อรักษาอำนาจแบบนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์
แม้ว่าจะเคยมีอดีตผู้บัญชาการทหารบกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ใช่การสร้างอำนาจเป็นปึกแผ่นสืบทอดต่างตอบแทนแบบที่เราเห็นกันอยู่ในวันนี้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นพี่ใหญ่ที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก จากนั้นคั่นด้วยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เป็นผบ.ทบ.ผู้นำกองทัพยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทักษิณ แล้วไม่ยอมเป็นนายกรัฐมนตรีเอง แต่ผลักดันให้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
สายสัมพันธ์ของพล.อ.ประวิตรกับพล.อ.สนธิจึงไม่เกี่ยวร้อยรัดกัน เพราะต้องยอมรับว่า ณ ตอนนั้นพล.อ.ประวิตรก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทักษิณ และสายสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพล.อ.สุรยุทธ์
บทความในมติชนสุดสัปดาห์ซึ่งทราบวงในว่าผู้เขียนเป็นนักข่าวเซเลบสายทหารคนดังเคยเขียนเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า
“เพราะเมื่อครั้งที่ พล.อ.สุรยุทธ์เป็น ผบ.ทบ.ได้เด้ง พล.อ.ประวิตร ยศพลโทในขณะนั้น จากแม่ทัพน้อยที่ 1 เข้ากรุผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. ด้วยสาเหตุที่ทหารในกองทัพไม่คิดว่าจะเล่นกันแรงขนาดนี้
หลังจากที่ พล.อ.ประวิตรพร้อมเพื่อนเตรียมทหาร 6 ไปตีกอล์ฟที่คุนหมิง ประเทศจีน โดยไม่ได้ลา เพราะไปต่างประเทศ จึงโดนย้ายเข้ากรุกันระนาว รวมทั้งบิ๊กกี่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่เป็น ผบ.พล.1 รอ. ขุมกำลังปฏิวัติเข้ากรุ
ในเวลานั้น พล.อ.ประวิตร เป็นที่รู้กันว่าสนิทสนมกับนายเสนาะ เทียนทอง แกนนำพรรคไทยรักไทย เพราะ พล.อ.ประวิตรเติบโตใน พล.ร. 2 รอ.ที่สระแก้วมาตลอด และรู้จักกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ครั้งนั้นถือว่ารุนแรง เพราะทำให้ชีวิตราชการทหารของ พล.อ.ประวิตร ที่จ่อขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังรบ เปลี่ยน
แต่ที่สุด พล.อ.ประวิตรก็สู้จนได้กลับมาเป็น ผช.เสธ.ทบ.และได้กลับมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 จนได้ และเข้าไลน์ 5 เสือ ทบ.และได้เป็น ผบ.ทบ. แบบฮือฮาเพราะนายกฯ ทักษิณในเวลานั้นเด้งบิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ จาก ผบ.ทบ.ไปแขวนเป็น ผบ.ทหารสูงสุด”
จะเห็นได้ว่าสายสัมพันธ์ของพล.อ.ประวิตรกับทักษิณนั้นเหนียวแน่นมาก และหลายคนเชื่อว่า วันนี้แม้ทักษิณจะกลายเป็นสัมภเวสีแล้ว แต่สายสัมพันธ์นั้นก็ยังคงเชื่อมโยงกันอยู่มิรู้คลาย
เมื่อพล.อ.สนธิหมดวาระก็เป็นคิวของพี่รองอย่างพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เป็น ผบ.ทบ.ในยุคคาบเกี่ยวกับที่พล.อ.ประวิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ แล้วทั้งสองก็ผลักน้องเล็ก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ.คนต่อมา กลายเป็นความสัมพันธ์สามเส้าที่เหนียวแน่น ด้วยความรักใคร่ผูกพันกันมาตั้งแต่ชั้นผู้น้อย กลายเป็นความรักความห่วงใยที่ไม่มีวันทอดทิ้งกันของ 3 ป.
ครั้งหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ออกมาบอกว่า พลเอกประวิตร เป็นคนดี เพราะถ้าท่านไม่ดี ผมก็คงไม่เคารพ และคงเลิกคบไปนานแล้ว รวมไปถึงคำมั่นสัญญาว่า จะอยู่ด้วยกันตลอดไป และพล.อ.ประวิตร เคยกล่าวว่า “ไม่มี เรื่องเรากับนายกฯ เลิกพูด เพราะอยู่กันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เราเป็น ร.อ. และ ร.ต.อยู่ด้วยกันมาตลอดจนเกษียณอายุราชการ จะมาเอาอะไรอีก หยุดพูดเรื่องนี้”
ดังนั้นเชื่อได้เลยว่า สิ่งที่พล.อ.ประวิตรทำย่อมหมายถึงว่าเป็นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์เห็นดีงามด้วย การก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคของพล.อ.ประวิตรดูเหมือนหลายคนมองว่าจะทำความยุ่งยากใจให้กับพล.อ.ประยุทธ์ แต่เชื่อเถอะว่า เป็นเพียงการแสดงออกต่อภายนอกเท่านั้น เพื่อให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รับรู้เพียงแต่อาจจะยังมีเยื่อใยกับสี่กุมารและดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ดึงมาช่วยทำงานอยู่บ้างเท่านั้นเอง
ไม่ได้หมายความว่า ศักยภาพของพล.อ.ประวิตรและคนเข้ามาใหม่แทนทีมของสมคิดจะเหนือกว่า แต่พล.อ.ประยุทธ์คงจะรู้แล้วว่า การทำงานการเมืองและการเป็นนักการเมืองนั้น ต้องตอบแทนบุคลากรทางการเมืองมากกว่าคนที่เป็นเทคโนแครต ซึ่งแม้จะเข้ามาทำงานการเมืองแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนสีให้กลมกลืนเพื่อเกลือกกลั้วกับนักการเมือง
และแม้จะเป็นอดีต ผบ.ทบ.สำหรับภาพของพล.อ.ประวิตรนั้น แทบจะไม่มีบุคลิกของทหารเลย บทบาทและท่าทีของเขาใครๆ ก็บอกว่า เหมือนกับพ่อค้ามากกว่า แถมยังมีรสนิยมนาฬิกาหรูจนเกินฐานะของนายทหารอยู่มาก
ส่วนตัวผมดูภาพของประวิตรแล้วยังนึกดอน วีโต คาร์เลโอเน ในเดอะ ก็อดฟาเธอร์ด้วยซ้ำไป เพราะเห็นสายสัมพันธ์ที่ประคบประหงมดูแลเว้าวอนกันระหว่างพล.อ.ประวิตรกับพล.อ.ประยุทธ์แล้ว ผมนึกไปถึงคำพูดในหนังที่ว่า “มิตรภาพคือทุกสิ่งทุกอย่าง สำคัญกว่าพรสวรรค์ สำคัญกว่ารัฐบาล มันเกือบจะเท่าความสัมพันธ์ในครอบครัว”
แม้จะเดินเหินไม่คล่อง แต่พล.อ.ประวิตรก็เป็นทุกอย่างของพล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจนไม่อาจจะตัดรอนกัน ดังนั้นเมื่อฝั่งของพล.อ.ประวิตรสะบั้นสัมพันธ์กับทีมของสมคิดและสี่กุมารเชื่อเถอะว่า แม้ต้องซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องเห็นคล้อยตามพี่ใหญ่นั่นแหละ และสุดท้ายทีมสมคิดก็ต้องลาออกไป
การอุ้มชูดูแลกันมาตั้งแต่ชั้นผู้น้อย “ตั้งแต่เราเป็น ร.อ. และ ร.ต.อยู่ด้วยกันมาตลอดจนเกษียณอายุราชการ” นั้น อาจจะตอบแทนกันไม่หมด เมื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ย่อมไม่มีวันจะทอดทิ้งพล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่และพล.อ.อนุพงษ์ พี่รองไปได้
คอนเนกชันที่กว้างขวางทั้งแนวดิ่งและแนวราบยาวไกลจากเชียงรายถึงโกลกและดูไบของพล.อ.ประวิตรนั้น เป็นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องพึ่งพิง แม้พื้นฐานของพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นที่รักของมวลชนซึ่งเป็นสิ่งที่พล.อ.ประวิตรไม่มี แต่สิ่งที่คนหนึ่งมีคนหนึ่งขาดมันก็เจือสมกันได้อย่างลงตัว