นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ตามที่ จ.ศรีสะเกษ ได้มีคำสั่งระงับการใช้ช่องทางการเข้า-ออกของบุคคล ยานพาหนะและสิ่งของ ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 ตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นั้น เนื่องจากว่าขณะนี้การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยได้ผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนายกรัฐมนตรีได้มีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 (ฉบับที่12) ผ่อนผันการใช้ช่องทางเข้ามในราชอาณาจักรเฉพาะเพื่อการขนส่งสินค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบและขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าชายแดน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 (1) แห่ง พระราชบัญญัติโรคติดต่อพ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบกับข้อ 5 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 12) และมติคณะกรรมการโรคติดต่อศรีสะเกษ
ตนจึงได้มีคำสั่งดังต่อไปนี้ 1. ให้ผ่อนผันการใช้ช่องทางสำหรับการนำเข้า- ส่งออก ขนส่งสินค้าและสินค้าผ่านแดน ณ จุดผ่านแดน ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ 2. ให้ผ่อนผันการใช้ช่องทางสำหรับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของบุคคล ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ 2.1 ผู้มีสัญชาติไทย 2.2 ผู้มีเหตุยกเว้นหรือเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน กำหนดอนุญาตหรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามความจำเป็นโดยอาจกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาได้ 2.3 บุคคลใดในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศหรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ ซึ่งมาปฏิบัติติงานในประเทศไทยหรือบุคคลในหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตตามความจำเป็น ตลอดจนคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว 2.4 ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น แต่เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้กลับออกไปโดยเร็ว 2.5 ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน 2.6 ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้มีสัญชาติไทย
2.7 ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร 2.8 ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีใบอนุญาตทำงานหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมาย ตลอดจนคู่สมรสหรือบุตรของบุคคลดังกล่าว 2.9 ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาของสถานศึกษาในประเทศไทย ที่ทางการไทยรับรอง ตลอดจนบิดามารดา หรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว ยกเว้นนักเรียนหรือนักศึกษาของโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนหรือของสถานศึกษาอื่นของเอกชนที่มีลักษณะคล้ายกันดังนี้ 2.9.1 นักเรียนหรือนักศึกษาของสถาบันศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนประเภทนานาชาติหรือมหาวิทยาลัยในหลักสูตรนานาชาติ ทั้งนี้ให้รวมถึงบิดามารดา หรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว 2.9.2 นักเรียนของโรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือในสังกัดหน่วยงานอื่นของรัฐทั้งนี้ไม่รวมถึงบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว 2.9.3 นักเรียนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนหรือโรงเรียนของสังกัดอื่นที่มีภารกิจในลักษณะเดียวกันทั้งนี้ไม่รวมถึงบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว 2.10 ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยและผู้ติดตามของบุคคลดังกล่าวแต่ต้องไม่เป็นกรณีเข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 ทั้งนี้เฉพาะผู้มีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยที่เดินทางโดยทางอากาศโดยให้จำกัดจำนวนผู้ติดตามได้ไม่เกิน 3 คนและให้เข้ารับการกักกันในสถานพยาบาลเดียวกันรวมถึงต้องมีระยะเวลาที่อยู่ในราชอาณาจักรไม่น้อยกว่า 14 วัน
ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวต่อไปว่า 2.11 ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) กับต่างประเทศ 2.11.1 ระยะยาวทั้งนี้ให้มีการกำหนดโควต้าจำนวนผู้เดินทางจากประเทศที่มีข้อตกลงพิเศษโดยกระทรวงการต่างประเทศเสนอขอความเห็นชอบจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) 2.11.2 ระยะสั้นทั้งนี้ให้มีการกำหนดโควต้าจำนวนผู้เดินทางจากประเทศที่มีข้อตกลงพิเศษโดยกระทรวงการต่างประเทศเสนอขอความเห็นชอบจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) 3. ให้ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 7/2563 ลงวันที่ 30 มิถุนา 2563 ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 15 ก.ค. 2563