นายภิมุข สิมะโรจน์ ประธานกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO เปิดเผยว่า ซัสโก้มีทำธุรกิจเปรียบเหมือนมี 4 เครื่องยนต์ คือธุรกิจปั๊มน้ำมันและก๊าซ, ธุรกิจน้ำมันส่งออก เช่น ประเทศ กัมพูชา พม่าและลาว เป็นต้น, ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับ น้ำมัน (Non-Oil) เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งชะลอตัวลงแทบไม่เหลือยอดขาย เนื่องจากสายการบินยังไม่สามารถทำการบินได้ปกติ คงต้องรอดูสถานการณ์ว่าจะนานแค่ใหน
ผลประกอบการที่ผ่านมาลดลงโดย ไตรมาส 1 /2563บริษัท มีขาดทุนก่อนภาษีเงินได้จำนวน15.26 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี2562 ที่มีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้จำนวน151.97 ล้านบาท ลดลง167.23 ล้านบาท เนื่องจากกำไรขั้นต้นลดลง ตามปริมาณการขายที่ลดลง จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด19 ประกอบกับมีผลขาดทุนจากการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือ จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงอย่างมาก มีผลทำให้บริษัทฯมีขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ จำนวน 13.11 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี2562 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 120.99 ล้านบาท เป็นจำนวน 134.09 ล้านบาท
สำหรับช่วงวิกฤติโควิด-19 ซัสโก้ มีมาตรการดูแลสุขอนามัยอย่างเต็มที่ โดยให้พนักงานทุกคนในสถานีบริการน้ำมัน ปฎิบัติตามข้อปฎิบัติของภาครัฐ เช่น ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่าง และช่วยกันทำความสะอาดภายในสถานที่บริเวณต่างๆ อาทิ หัวจ่ายน้ำมัน แท่นรูดบัตรเครดิต ร้านสะดวกซื้อ และห้องน้ำ อย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญบริษัทได้ทำการมอบหน้ากากอนามัยให้พนักงาน ทั้งในส่วนสำนักงานและสถานีบริการทั่วประเทศ จำนวนกว่า 2,000 คน และส่งเสริมให้พนักงานสถานีบริการฯ ทำหน้ากากพลาสติกป้องกันใบหน้า (Face Shield) จากขวดน้ำดื่มซัสโก้ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังสร้างความสบายใจในการทำงานให้พนักงานโดยได้ออกจดหมายแจ้งพนักงานว่าทางซัสโก้ยังไม่มีนโยบายลดคนหรือเลิกจ้างพนักงานแต่อย่างใด แต่ขอให้ช่วยกันลดค่าใช้จ่ายและสะสางงานภายในที่อาจคั่งค้างจากช่วงปกติที่ไม่มีเวลาทำ
จากวิกฤติครั้งนี้ทำให้ซัสโก้มั่นใจในจุดแข็งที่เน้นขยายตลาดในเมืองมากขึ้น ทั้งด้านน้ำมัน และ Non-Oil โดยเฉพาะฐานลูกค้าในกรุงเทพและปริมณฑล ตามใจกลางเมืองต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย โดยจะมีการขยายสถานีบริการอีก 15- 20 แห่งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้มีสถานีรวม 250 ตามเป้า 2563 พร้อมปรับโฉมสถานีบริการให้มีความทันสมัยขึ้นโดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท
ด้านนวัตกรรมใหม่ๆและเรื่องพลังงานทดแทนนั้น ซัสโก้ได้นำโซลาร์รูฟท็อปมาติดตั้งในสถานีบริการน้ำมันผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 1-1.5 MW เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายซึ่งตามแผนจะขยายติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป ภายในสถานีบริการซัสโก้ จำนวน5 แห่ง เช่น บางปะกอก(สำนักงานใหญ่) บางคูวัด วิภาวดี1 เลียบคลองช่องนนทรี และสวนหลวง ร. 9 เป็นต้น สำหรับแผนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นการทำงานร่วมกันกับ EA Anywhere ซึ่ง EA เป็นยักษ์ใหญ่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของไทย ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 16 สถานี และเตรียมพร้อมที่จะเปิดให้บริการอีก 8 แห่ง
นอกจากนี้ นายภิมุขได้ฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ว่า ในมุมมองของผู้ประกอบการก็อยากให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมด้านพลังงาน โดยเฉพาะส่งเสริมการดูแลเรื่องราคาพลังงานไม่ให้สูงมากเกินไป เพราะมีความเป็นห่วงจะส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนในภาวะเช่นนี้ และหากจะมีมาตรการใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขอให้มีความชัดเจน ภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว