สำนักข่าวรัสเซีย รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 "Sputnik V" ชุดแรกแล้วในวันนี้ ตามที่มีการประกาศว่าจะมีการผลิตในทางอุตสาหกรรมในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า แม้จะมีความกังวลว่าเป็นการอนุมัติการผลิตวัคซีนที่รวดเร็วเกินไปท่ามกลางการแข่งขันในระดับโลก จนอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ที่ได้รับวัคซีน
โดยก่อนหน้านี้ทางการรัสเซีย ระบุว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ชนิดแรกจะเริ่มผลิตได้ภายในสิ้นเดือนนี้ การเริ่มต้นการผลิตในวันนี้จึงเร็วกว่าที่กำหนดไว้มาก เหมือนกับที่มีการอนุมัติการผลิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการทดสอบในระยะที่ 3 ที่จะเป็นการทดสอบกับอาสาสมัครจำนวนหลายพันคนเพื่อติดตามประสิทธิภาพและผลข้างเคียง เพื่อให้ได้รับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับ จนทำให้หลายประเทศไม่มีความเชื่อมั่น แม้ว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะให้ความมั่นใจทั้งอ้างว่าลูกสาวคนหนึ่งของเขาเป็นอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนและเธอแข็งแรงดี โดยปูติน เผยว่า วัคซีนตัวนี้มีความปลอดภัยและบอกว่า หนึ่งในลูกสาวของเขาเอง ได้รับการฉีดไปแล้ว ถึงแม้ว่าการทดลองทางคลินิกจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม และการทดสอบระยะสุดท้ายกับอาสาสมัคร 2,000 คนเพิ่งเริ่มในสัปดาห์นี้เท่านั้น
ส่วนกรณีที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีน ทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ระบุว่ามีการทดสอบระยะที่ 1 และ 2 เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมและมีการทดสอบในระยะที่ 3 แล้วโดยใช้อาสาสมัคร 2,000 คน ในรัสเซียและประเทศแถบตะวันออกกลางและละตินอเมริกา ซึ่งทั้งหมดไม่มีผลข้างเคียงใดๆทางสาธารณสุขจึงให้ขึ้นทะเบียนรับรองและให้เริ่มการผลิตได้ แต่เนื่องจากจำนวนอาสาสมัครที่มีจำนวนเท่ากับการทดสอบในระยะที่ 1 และระยะเวลาในการติดตามผล ทำให้องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ยังไม่รับรองวัคซีนของรัสเซียทั้งนี้ รัสเซีย ระบุว่า พวกเขามีแผนที่จะผลิตวัคซีนนี้ 5 ล้านโดสต่อเดือนในช่วงเดือนธันวาคมหรือมกราคม โดยในสัปดาห์นี้ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มิคฮาอิล มูรัชโก กล่าวว่า วัคซีนตัวนี้จะเป็นวัคซีนตัวแรกที่ถูกจ่ายให้เจ้าหน้าที่แพทย์ และจะแจกจ่ายให้ชาวรัสเซียทุกคนตามแต่ความสมัครใจในเวลาต่อมาโดยขณะนี้รัสเซียมีตัวเลขผู้ติดเชื้อกว่า 917,000 คน ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของรัสเซียตอนนี้อยู่ในอันดับที่ 4 รองจากสหรัฐฯ บราซิล และอินเดีย ปัจจุบัน รัสเซียมีผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวอยู่ 92,000 คนและอยู่ในแผนกไอซียู 2,900 คน อ้างจากกระทรวงสาธารณสุข