(18 ส.ค.63) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร โดยมี คณะผู้บริหาร และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)
สำนักงานเขตพระนคร รายงานความคืบหน้าโครงการปรับปรุงพื้นที่ทำการค้า(พิเศษ) ถนนข้าวสาร เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยดำเนินการปรับปรุงพื้นที่บริเวณถนนข้าวสารให้สามารถรองรับการจัดระเบียบแผงค้าและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อย่างเหมาะสม รวมความกว้าง 16 เมตร ความยาว 400 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 6,400 ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 120 วัน (30 ม.ค.-18 พ.ค.63) ขณะนี้การดำเนินการทางด้านกายภาพแล้วเสร็จทั้งหมดแล้ว มีลักษณะสำคัญคือ ทางเท้าและพื้นถนนอยู่ในระดับเดียวกัน มีเสากั้นระหว่างแผงค้ากับทางเท้า ซึ่งเสากั้นสามารถถอดออกได้ในกรณีที่ต้องการใช้พื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ได้จัดทำรางระบายน้ำทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อนำสู่ท่อระบายน้ำหลักต่อไป
ในส่วนของการจัดระเบียบแผงค้า กำหนดแผงค้าขนาดกว้าง 1.5 เมตร ยาว 2 เมตร สามารถจัดแผงค้าได้รวมทั้งสิ้น 240 แผง และจัดให้มีการเว้นระยะหัวถนนและท้ายถนน 30 เมตร เพื่อตั้งกองอำนวยการและจอดรถดับเพลิง แบ่งเวลาทำการค้า 2 ช่วงเวลา คือเวลา 09.00-16.00 น. และ 17.00 – 24.00 น. รวมทั้ง 2 ช่วงเวลา สามารถทำการค้าได้ 480 แผง โดยสินค้าที่นำมาจำหน่าย ประกอบด้วย สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 46 แผง สินค้าทั่วไป อาทิ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของที่ระลึก และสินค้า OTOP จำนวน 194 แผง
ทั้งนี้จากการสำรวจผู้ค้าในถนนข้าวสารที่ขึ้นบัญชีไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งหมด 234 ราย โดยมาแสดงตนจำนวน 209 ราย และมีผู้ค้าที่มาแสดงความประสงค์เพิ่มเติมและผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น จำนวน 71 ราย รวมจำนวนผู้ค้าทั้งสิ้น 280 ราย
ที่ประชุมมอบหมายให้ดร.วัลล สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางวิภารัตน์ ไชยานุกิจ และนางวัลยา วัฒนรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุมติดตามไม่ให้มีการค้าขายสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงกำหนดรูปแบบเต็นท์และแผงค้า ให้มีความสะอาด สวยงาม มีลักษณะเด่นแยกตามประเภทของสินค้า จัดสรรแผงค้าให้เป็นธรรม ป้องกันการเช่าช่วงของผู้ค้า โดยเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่อไป