ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ความสัมพันธ์ไทย - จีน และ เศรษฐกิจเพื่อนบ้าน ย้อนกลับ
สัมพันธ์จีน-อเมริกา ทรัมป์บ้าจะพาแตกหัก
20 ส.ค. 2563

โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

สัมพันธ์จีน-อเมริกา

ทรัมป์บ้าจะพาแตกหัก

พัฒนาการของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในสายตาของชาวโลกนั้น ไม่เพียงแต่จะพาอเมริกาหลงทางไปลงเหวลึก แต่อาจจะพาชาวโลกเข้าสู่หายนะไปด้วยกับนโยบาย “America First

เริ่มต้นด้วยการจุดชนวน “สงครามการค้า ”กับจีนเมื่อต้นปี 2561 ชาวโลกก็ผวา เมื่อทรัมป์หยิบประเด็นการขาดดุลการค้าปีละกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า ชาติเอเชีย “ขี้โกง” แล้วชี้นิ้วพุ่งเป้าไปที่ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งได้เปรียบการค้าอเมริกามากที่สุด

ทรัมป์กล่าวหาจีนแบบไม่เกรงใจว่า สินค้าจีนทุ่มตลาด และรัฐบาลจีนให้การอุดหนุนอย่างไม่ถูกกฎหมาย ดังนั้น เพื่อปกป้องผู้ผลิตชาวอเมริกัน รัฐบาลวอชิงตันจึงต้องใช้มาตรการภาษีเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนการค้า

ขั้นต่อมาทรัมป์เปิด “สงครามเทคโนโลยี” เล่นงาน HUAWEI เทคโนโลยี บริษัทโทรคมนาคมใหญ่สุดของจีนผู้พัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคมไร้สายระบบ 5G ซึ่งจะมีผลให้จีนแซงหน้าอเมริกาแบบฉุดไม่อยู่ รัฐบาลวอชิงตันส่งสัญาณให้รัฐบาลแคนาดาจับลูกสาวประธาน HUAWEI ในข้อหาแอบค้าขายกับอิหร่าน ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรการแซงก์ชั่นของอเมริกาและนานาชาติ 

ในระหว่างนั้น อเมริกาเที่ยวหว่านล้อมให้ชาติอื่นๆ ภายใต้อิทธิพลของตน อาทิ อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น แคนาดา ฯลฯ ต่อต้านเทคโนโลยี 5G ของ HUAWEI ด้วยข้ออ้างเพื่อความปลอดภัยด้านความมั่นคง        

ขณะที่กำลังชื่นชมผลงานของตนในการกระตุกหนวดมังกร ก็เกิดไวรัส COVID-19 ที่เมืองอู่ฮั่น จนจีนต้องสั่งปิดเมืองปิดประเทศอุตลุด ตอนแรกทรัมป์ก็เยาะเย้ยถากถางด้วยความสะใจ แต่พอระบาดมาถึงอเมริกา แล้วตัวเองแสดงความอวดรู้จนคุมไม่อยู่ อเมริกากลายเป็น “รัฐล้มเหลว”  ทรัมป์เลยมองหา “แพะ” หันไปเล่นงานองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า ทำงานผิดพลาด ต้องตัดเงินช่วยเหลือ และสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากการเป็นสมาชิก 

พร้อมกล่าวหาจีนว่า ทำตัวมีอิทธิพลเหนือ WHO เป็นตัวการสำคัญแพร่เชื้อ “ไวรัสจีน” จากห้องแล็ปสถาบันไวรัสวิทยาที่เมืองอู่ฮั่นไปคร่าชีวิตชาวอเมริกัน ทำลายเศรษฐกิจอเมริกา เพราะไม่ต้องการให้ทรัมป์นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อในสมัยที่ 2

การโยนบาปให้จีนว่า เป็นคนรับผิดชอบเรื่องเลวร้ายทั้งปวงในอเมริกา ดูจะเป็นงานถนัดของทรัมป์ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน คะแนนนิยมของทรัมป์นอกจากไม่กระเตื้องขึ้นกลับยิ่งถดถอย เพราะสถานการณ์ต่างๆ เหมือนกำลังรุมเร้าชาวอเมริกัน ทั้งภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อเมริกามียอดติดเชื้อสะสมในระดับ 5 ล้านคน ตายเกือบ 2 แสนคนสูงที่สุดในโลก 

ปัญหาการเหยียดคนดำที่ยิ่งสะท้อนความเกลียดชังระหว่างคนต่างสีผิว ต่างเชื้อชาติ เมื่อผสมกับความเกลียดกลัว “คนจีน” ที่ทรัมป์พยายามปลูกฝังคนอเมริกาให้มองจีนเป็นศัตรูยุคใหม่ จนลามมายังชาวเอเชียผิวเหลือง ก็ยิ่งขยายวงความไม่สงบสุขในอเมริกา

ที่รุนแรงและเลวร้ายคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผย GDP ไตรมาส 2 ปีนี้ หดตัวลงถึง 32.9% ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 70 ปี ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบของการล็อกดาวน์แบบปิดๆ เปิดๆ อย่างสูญเปล่า เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้นทุกวัน

ทีมที่ปรึกษาของทรัมป์คงคิดออกอย่างเดียวว่า การจะเรียกคะแนนนิยมคืนให้ทรัมป์ได้คือ ต้องตีข่าวเอาชนะจีน   จึงเป็นที่มาของการ “สั่งปิดสถานกงสุล” ในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 

นักการเมืองลูกน้องทรัมป์เรียงแถวออกมากล่าวหาสถานกงสุลจีนในฮุสตันว่า เป็นศูนย์กลางจารกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและปฏิบัติการสร้างอิทธิพลในสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับความพยายามโจรกรรมความลับของบริษัทอเมริกันและขโมยทรัพย์สินทางปัญญางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เพื่อสร้างความได้เปรียบของจีนในโลกเศรษฐกิจและอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม จีนยุคนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่เกรงกลัวสหรัฐอเมริกา และพร้อมจะตอบโต้ทุกกรณีที่เห็นว่า ไม่ถูกต้อง   จะคุยดีๆ ก็ได้ จะให้ออกกำลังก็ยินดี เมื่ออเมริกาสั่งปิดสถานกงสุลที่ฮิวสตันภายใน 72 ชั่วโมงได้ จีนก็สั่งปิดสถานกงสุลของสหรัฐอเมริกาประจำนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน ภายใน 72 ชั่วโมงเท่ากัน

 “เป็นการตอบโต้ที่จำเป็น และชอบด้วยกฎหมายต่อมาตรการที่ไร้เหตุผลของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลสหรัฐแห่งนี้ได้ก้าวก่ายกิจการภายใน เป็นอันตรายต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของจีน” นั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลปักกิ่งบอกต่อรัฐบาลวอชิงตันและชาวโลก

วุฒิสมาชิกสายเดโมแครตคนหนึ่งออกมาตั้งข้อสังเกตุไว้อย่างน่าสนใจว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกับจีนนั้น พอมีความเข้าใจ แต่ยังสงสัยว่า การใช้มาตรการปิดสถานกงสุลจีนนั้น ใช่ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องหรือ รัฐบาลหวังให้เกิดผลอย่างไร และเมื่อจีนตอบโต้กลับมา รัฐบาลพร้อมที่จะรับมือและดำเนินการต่อแค่ไหน เพราะในทางการทูตระหว่างประเทศ การสั่งปิดสถานกงสุลถือเป็นการหักหน้ากันอย่างรุนแรง และอาจมีผลถึงขั้นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูต

จีนมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงวอชิงตัน และสถานกงสุลที่เหลืออีก 4 แห่ง ซึ่งทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ยังมีความเป็นไปได้ตลอดเวลาที่เขาจะพิจารณาสั่งปิดสถานกงสุลของจีนแห่งอื่นในสหรัฐฯ อีก

ในระหว่างรอกระตุกหนวดมังกรเส้นต่อไป ทรัมป์หันไปเล่นตามกระแสอินเดียด้วยการสั่งแบน Tik Tok  แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมระดับสากลของจีน ด้วยข้อกล่าวหาว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของอเมริกา เพราะ Tik Tok กำข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันไว้จำนวนมาก และได้ส่งข้อมูลเหล่านั้นให้รัฐบาลจีน

             Tik Tok เป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมแรงมากทั่วโลก เฉพาะในอเมริกามีผู้ใช้ราว 80 ล้านคน เจ้าของคือ ByteDance บริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีน

จากสิงหาคมถึงตุลาคมคือ ช่วง 3 เดือนอันตราย นอกจากเป็นโค้งสุดท้ายก่อนถึงศึกเลือกตั้งใหญ่ของอเมริกาในต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว ยังเป็นช่วงวัดใจรัฐบาลปักกิ่งว่า จะอดทน อดกลั้น กับความยะโสโอหังของทรัมป์ได้แค่ไหน

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...