พนมเปญ, (ซินหัว) —ทิต จันทา รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชา เปิดเผยว่าธุรกิจการท่องเที่ยวในกัมพูชาทยอยกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในประเทศมีแนวโน้มคลี่คลายลง
สถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวราว 3,135 แห่ง อาทิ โรงแรม บ้านพักตากอากาศ ร้านอาหาร ร้านนวดสปา ร้านคาราโอเกะ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ลานเบียร์ รวมถึงผู้ให้บริการด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว ถูกสั่งปิดหรือระงับบริการระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนงานกว่า 110,000 คน
“จนถึงขณะนี้ มีสถานประกอบการท่องเที่ยวที่ปิดหรือระงับบริการกลับมาเปิดแล้วราวร้อยละ 30 เนื่องจากมีความต้องการจากนักท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนกัมพูชายังคงอยู่ในระดับต่ำมาก” จันทาแถลง
“การกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้งอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการบรรเทาความยากลำบากทางเศรษฐกิจสำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง” จันทากล่าว พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการส่วนที่เหลือจะกลับมาเปิดให้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หากสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมต่อไป
กัมพูชาประสบความสำเร็จในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการตรวจพบผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันผลรวม 274 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยหายดี 271 ราย และยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 3 ราย
จันทา กล่าวว่า เนื่องจากข้อจำกัดการเดินทาง ทำให้กัมพูชารองรับเที่ยวบินเพียง 3-5 เที่ยวต่อวัน ซึ่งมีผู้โดยสารรวมน้อยกว่า 1,000 คน โดยส่วนใหญ่มาจากจีนและเกาหลีใต้
ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเยือนกัมพูชาลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 สืบเนื่องจากโรคระบาดใหญ่ โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวม 1.18 ล้านคน ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ลดลงร้อยละ 64 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ด้านทอง คูน รัฐมนตรีกระทรวงฯ คาดการณ์ว่ากัมพูชาอาจสูญเสียรายได้ด้านการท่องเที่ยวราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.4 หมื่นล้านบาท) ในปี 2020 หลังจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง โดยปี 2020 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนกัมพูชาอาจลดลงถึงร้อยละ 70
การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งใน 4 เสาหลักค้ำจุนเศรษฐกิจกัมพูชา โดยปี 2019 กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 6.6 ล้านคน และทำรายได้รวม 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 แสนล้านบาท)