วัคซีน Covid-19 ได้รับความสนใจจากชาวโลกอีกครั้งหลังจากบริษัทผลิตยาไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค (Pfizer และ BioNTech) ประกาศว่าวัคซีนที่อยู่ในการทดลองระยะที่ 3 มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสได้ถึง 90% ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นรับข่าวดีนี้ นอกจากนี้ วัคซีนของเจ้าอื่นก็มีความเคลื่อนไหวในเวลาใกล้เคียงกัน อาทิ กระทรวงสาธารณสุขรัสเซียแถลงยืนยันว่าวัคซีน Sputnik V มีประสิทธิภาพมากกว่า 90% เช่นเดียวกับของไฟเซอร์ แม้จะยังไม่เริ่มทดลองในระยะที่ 3 ก็ตาม ส่วนแอนติบอดีของ Eli Lilly ก็เพิ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA)
เมื่อช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาหลายบริษัทเริ่มเปิดเผยราคาวัคซีนซึ่งแตกต่างกันไปดังนี้โมเดอร์นา (Moderna) ตั้งราคาไว้ที่ 32-37 เหรียญสหรัฐ หรือ 975.36-1,127.76 บาท สำหรับการสั่งซื้อจำนวนน้อย โดย สเตฟาน บองเซล ซีอีโอของโมเดอร์นาระบุว่า ราคาจะต่ำกว่านี้หากซื้อจำนวนมากบองเซล ยังกล่าวอีกว่า โมเดอร์นากำหนดการตั้งราคาวัคซีน Covid-19 ไว้ 2 ระยะคือช่วงที่โรคกำลังระบาดทั่วโลก (pandemic) โดยราคาจะต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และช่วงที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น (endemic) แล้ว ราคาจะเป็นไปตามราคาของวัคซีนเชิงพาณิชย์อื่นๆ ซึ่งหมายความว่าราคาอาจสูงขึ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ทำสัญญาว่าจะผลิตวัคซีน 100 ล้านโดส มูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหลังได้รับอนุมัติจาก FDA ซึ่งเฉลี่ยแล้ววัคซีนของจอห์นสันอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐ หรือ 304.78 บาทต่อโดสขณะที่วัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค (Pfizer และ BioNTech) สนนราคาโดสละ 19.50 เหรียญสหรัฐ หรือ 594.20 บาท โดยต้องฉีดคนละ 2 โดส โนวาแว็กซ์ (Novavax) สตาร์ทอัพในรัฐแมริแลนด์ของสหรัฐ ราคา 16 เหรียญสหรัฐ หรือ 487.54 บาทต่อโดสจนถึงตอนนี้ราคาวัคซีน Covid-19 ที่ถูกที่สุดเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการทดสอบขั้นสุดท้าย สนนราคาอยู่ที่ 4 เหรียญสหรัฐ หรือ 121.84 บาทต่อโดสซิโนแวค (Sinovac) ของจีนจำหน่ายในบางเมืองเป็นการฉุกเฉินในราคา 60 เหรียญสหรัฐ หรือ 1,825.53 ลาทต่อ 2 โดส ส่วนวัคซีนของซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ของจีนอยู่ที่ 145 เหรียญสหรัฐ หรือ 4,416.19 บาทต่อ 2 โดสซึ่งสูงที่สุดในโลก
จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรป สำนักข่าวรอยเตอร์สพบว่าสาเหตุที่ราคาวัคซีนของแอสตราเซเนกาต่ำกว่าเจ้าอื่น เป็นเพราะสัญญาซื้อขายวัคซีนของแอสตราเซเนกากับรัฐบาลยุโรปมีข้อตกลงจำกัดความรับผิดชอบของบริษัทในกรณีที่ผู้ใช้ได้รับอันตรายจากผลข้างเคียงของวัคซีน ขณะที่เจ้าอื่นไม่มีข้อสัญญาลักษณะนี้จึงต้องตั้งราคาสูงกว่าขณะนี้ทั่วโลกมีวัคซีนที่อยู่ระหว่างการทดลองระยะที่ 3 10 ตัว ดังนั้นหลังจากนี้มีแนวโน้มว่าหลังการแถลงข่าวของไฟเซอร์ แต่ละบริษัทจะแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อให้ได้เป็นเจ้าแรกที่ผลิตวัคซีนออกสู่ท้องตลาด เพราะนั่นหมายถึงเงินรายได้มหาศาล ขณะที่ผู้บริโภคอาจมีวัคซีนใช้กันเร็วขึ้น
เราจะเห็นได้ว่าเมื่อไฟเซอร์ประกาศผลสำเร็จการทดลองวัคซีน รัฐบาลของสหราชอาณาจักรก็แถลงแทบจะในทันทีว่าจะได้รับวัคซีนจำนวน 10 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้หากหน่วยงานกำกับดูแลอนุมัติ และอาจจะได้จำนวนรวมทั้งหมดถึง 40 ล้านโดสท่าทีแบบนี้ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรเท่ากับเป็นการจี้ให้บริษัทอื่นๆ ต้องรีบออกมามีปฏิกิริยาตอบสนองกับความสำเร็จของไฟเซอร์ ปรากฏว่าในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นบริษัทเวชภัณฑ์ต่างๆ รีบออกมาประกาศความคืบหน้าเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเช่น บริษัทอีไล แอนด์ ลิลลี (Eli Lilly & Co.) ได้รับอนุญาตให้ใช้การรักษาด้วยแอนติบอดี้ในกรณีฉุกเฉินในสหรัฐอเมริกา ผลก็คือหุ้นของ Lilly (ซึ่งมีฐานอยู่ในอินเดียแนโพลิส) เพิ่มขึ้นมากถึง 5.2% ในการซื้อขายช่วงดึกของวันจันทร์ จนถึงขณะนี้ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้น 8.3% ในปีนี้ต่อมาบริษัทไบโอเอ็นเทค "เกทับ" บริษัทอื่นๆ ด้วยการประกาศกำหนดราคาวัคซีนให้ต่ำกว่าราคาตลาดโดยกำลังวางแผนที่จะกำหนดราคาสูตร 2 ช็อตให้ต่ำกว่า "อัตราปกติของตลาด" และจะแยกการกำหนดราคาให้ต่างกันระหว่างประเทศหรือภูมิภาค