ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
สังคม / บุคคล ย้อนกลับ
"ประชัย เปรียบ" ผว.ธนาคารแห่งประเทศไทย เหมือนแม่ทัพ "ชี้" ถ้าค่าเงินบาทแข็ง ไม่มีวันรบชนะ
18 พ.ย. 2563

     สำหรับการส่งออก อัตราแลกเปลี่ยนก็เหมือนปืนใหญ่ในกองทัพ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็เปรียบเหมือนแม่ทัพ ถ้ายังไม่เชื่อฟ้งคำสั่งของรัฐบาลให้รุกเพื่อเพิ่ม GDP ห้ได้ 3-6% แต่กลับตั้งเป้าถอย GDP ลงเหลือ -8% โดยปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งไปเรื่อยๆทั้งๆที่รู้ว่าผู้ประกอบการเดือดร้อนอย่าหนักประชาชนตกยากไร้รายได้ เสถียรภาพเศรษฐกิจการเมืองไปไม่ได้ คนตกงานไปค้ายาจนนักโทษมึถึง 400000 คน เหมือนหนึ่งรัฐบาลสั่งรุกเข้าไปยืดพื้นที่คืนจากข้าศึกชึ่งกำลังทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน

     แต่แม่ทัพกลับเพิกเฉยอ้างแต่สัญญาลดกำลังอาวุธชึ่งฝั่งตรงข้ามไม่ปฎิบัติตามโดยสั่งให้ทหารใช้ปืนใหญ่ยิงได้ไม่เกิน 10 กม.ตามที่ตกลง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับใช้ปืนใหญ่วิถีทำการ 15 กม. แล้วทหารไทยจะไปสู้ใครได้ แล้วไม่สงสารคนไทยในเขตยึดครองของข้าศึกที่ได้รับความเดือดรัอนอย่างแสนสาหัสหรือว่าท่านไม่ใช่คนไทย ในทางธุรกิจ การค้าขาย เงิน เป็นเสมือนหนึ่ง กองทัพของ ประเทศ การทำการค้าก็ต้องอาศัยเงินเหมือนกับการรบของประเทศก็ต้องอาศัยทหาร หรือกองทัพ การรบกับอุปสรรคต่างๆของประเทศก็ต้องอาศัยเงิน นโยบายการเงิน ที่ถูกต้อง ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยคนคุมนโยบายการเงิน

     สำหรับประเทศไทย ก็คือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าต้องการรบชนะทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออก เราก็ต้องอาศัยเงินซึ่งมีศักยภาพสูง นั่นคือเงินที่มีอัตราแลกเปลี่ยนต่ำ เงินบาทต้องไม่แข็งเกินไป ถ้าเงินบาทแข็งเกินไปก็เหมือนกองทัพที่อ่อนแอ ไม่สามารถไปรบกับใครได้ทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทยผู้ดูแลนโยบายการเงินก็คือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าท่านต้องการให้รบชนะคืออยากได้ GDP โต 5 เปอร์เซ็นต์หรือ 6 เปอร์เซ็นต์ ท่านต้องมีกองทัพหรือการเงินที่แข็งแรง คือเงินบาทต้องอ่อนลงอีก 10% เพื่อเพิ่มศักยภาพกองทัพในการรบ ตามปรกติวิสัยทฤษฎีการค้าเสรี เราไม่ควรไปยุ่งกับอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในเมื่อธนาคารชาติของประเทศรอบข้างคู่แข่งของเรา เขามายุ่งกับการทำให้เงินของเขาอ่อน เราก็ต้องทำให้เงินบาทเราอ่อนมาใกล้เคียงกับเขาเพื่อที่จะสู้เขาได้เหมือนหนึ่ง กองทัพถ้าเขาเพิ่มจรวดเพิ่มเรือบินเรือรบรถถังแล้วถ้าเราไม่เพิ่มกองกำลังรบของเราเราจะไปสู้กับศัตรูได้หรือ อาณาจักรของเราก็จะถูกหดหายไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดอย่าหวังเลยว่า GDP จะได้แม้แต่ -8% ก็จะไม่ได้ แต่ถ้าเรายอมให้เงินบาทอ่อนลง 10% กล่าวคือจาก 31.บาท ต่อดอลลาร์เป็น 35 บาทต่อดอลลาร์ เราก็สามารถเพิ่มศักยภาพของกองทัพการเงินให้สู้กับต่างชาติได้ เราสามารถเพิ่ม GDP ให้โตขึ้น อย่างน้อย5 เปอร์เซ็นต์ได้แน่นอน เมื่อ GDP โตขึ้นอีก 5% ก็จะทำให้โรงงานต่างๆในโรงในประเทศสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้และก็มีประสิทธิภาพและมีกำไรมากขึ้นการว่าจ้างแรงงานก็เต็ม 100% คนว่างงานซึ่งต้องไปประกอบอาชีพผิดกฎหมายก็น้อยลง (ขณะนี้คนติดคุกคดียาเสพติดมีอยู่ถึงสี่แสนคน แต่ตัวเลขของรัฐบาลกลับบอกว่ามีคนตกงานแค่ 0.5%) ก็จะเป็นการลดภาระของรัฐบาลทำให้ลดการสูญเสียเงินภาษีชึ่งเก็บจากประชาชน

    นอกจากนี้ ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของคนงานก็จะมากขึ้นรัฐบาลไม่ต้องไปชดเชยอะไรทั้งสิ้น เมื่อโรงงานต่างๆมีกำไรทุกคนก็สนใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นก็เพิ่ม investments มากขึ้น นอกจากคนไทยจะลงทุนแล้วต่างชาติพอเห็นมีกำไรต่างชาติคนจะวิ่งมาลงทุนมากขึ้นอีก ค่าแรงของคนงานก็จะเพิ่มขึ้น ตามที่รัฐบาลต้องการให้เห็นความอยู่ดีกินดีของประชาชน เมื่อทุกคนมีกำไร มีรายได้เพิ่มขึ้นรัฐบาลก็สามารถเก็บภาษีอากรได้มากขึ้น ทำให้งบการลงทุนของรัฐบาลงบค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ทำให้เสถียรภาพ ทางการคลังทางการเมืองของรัฐบาลดีขึ้น และเสถียรภาพทางการเงินของประเทศก็ดีขึ้นและที่สำคัญประชาชนทั้งประเทศก็จะอยู่ดีกินดีด้วย แต่ตรงนี้มีข้อเสียอยู่นิดเดียวคือ ขณะนี้เราได้เกินดุลการค้าอยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อเดือน ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกมาประกัน เงินดอลลาร์ในอัตรา 35 บาททำให้จะต้อง ออกบัตรเพิ่มขึ้นอีก 10% ก็คือ 3,000ล้าน บาทต่อเดือน หรือเท่ากับ ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี เทียบกับเงินหมุนเวียน M1 Money Supply ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ทำให้เงินหมุนเวียนมีมากขึ้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มีผลทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ทั้งนี้จะมีผลทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ดีกินดีของประชาชน เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลจะได้ให้ GDP โตขึ้นถึง 5 เปอร์เซ็นต์รัฐบาลจำเป็นต้องให้แม่ทัพการเงินคือผู้ว่าการผู้ดูแลนโยบายการเงินหรืออผู้ว่าการธนาคารประเทศไทยจะต้องลดค่าเงินบาทลง 10% มิฉะนั้น รัฐบาลจะไม่มีหวังที่จะได้รบชนะ และรัฐบาลจะไม่สามารถที่จะทำ GDP ให้โตอีก 5% ได้โดยอาศัยนโยบายการคลังจากกระทรวงการคลังอย่างเดียว เพราะถ้าในการค้ารัฐมนตรีคลังเทีเทียบเท่ากับรัฐมนตรีกลาโหมในในการรบนั้นเอง ถ้าไม่สามารถให้แม่ทัพเสริมกองทัพให้แข็งแรงได้ก็ไม่มีวันที่จะรบชนะ โดยถ้าแม่ทัพที่คุมกองทัพหรือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยผู้คุมนโยบายการเงินไม่ให้ความร่วมมือเพิ่มศักยภาพของกองทหารก็อย่าหว้งชนะการรบนี้เลย

     นอกจากนี้รัฐบาลควรผ่อนผันการเดินทางเข้ามาทำธุรกิจและการทัศนาจรของชาวต่างประเทศภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดโดยให้ทานยาฆ่าเชื้อไวรัส corona virus ที่ทาง TPI ใช้อยู่อย่างได้ผล (BIOKNOX) โดยพนักงานใช้ดื่มฆ่าเชื้อไวรัสและใช้ gel ล้างมือพร้อมใส่ MASK ป้องกันจนกระทั่งบัดนี้พนักงานและสมาชิกในครอบครัวเป็นแสนคนก็ไม่มีใครติดโรค covid. สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ สนามบิน คลองส่งน้ำ โรงไฟฟ้า ปะปา โรงพยาบาล ไม่ควรชลอการสร้าง เพราะจะสร้างงานและกระจายเงินให้ประชาชนเพื่ม GDP ได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ นโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยควรสั่งสถาบันการเงินผ่อนปรนการจัดลำดับหนี้การเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไปจนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิมและพักการชำระดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการและคนยากจนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตราการฉุกเฉินระงับการประกอบธุรกิจและการเดินทางของรัฐบาลเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยโดยอำนาจรัฐและรัฐบาลอาจชดใช้ดอกเบี้ยให้ธนาคารพานิชย์เท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ประมาณ 0.1%-0.4% ต่อปี เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเงินและการคลังของประเทศทำให้ทุกคนสามารถฟื้นกลับมาประกอบอาชีพได้ตามปรกติ

Credit : Share Line Prachai

Credit ภาพ : https://www.thaipost.net/main/detail/10271

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...