นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ดำเนินการจัดระเบียบรถแท็กซี่ รถตู้โดยสารสาธารณะ และรถจักรยานยนต์สาธารณะภายในเขตกรุงเทพมหานคร และตรวจสอบการให้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยตามนโยบายของรัฐบาล ผลการตรวจสอบการให้บริการรถโดยสารสาธารณะทั้ง 3 ประเภท ในเดือนสิงหาคม 2559 รวมทั้งสิ้น 16,798 ราย พบการกระทำความผิดรวม 1,326 ราย ประกอบด้วย การตรวจสอบรถแท็กซี่ จำนวน 9,910 ราย พบการกระทำความผิด 880 ราย ความผิดส่วนใหญ่ ได้แก่ ใช้รถไม่ตรวจรอบมิเตอร์ตามที่กำหนด 282 ราย ใช้รถไม่จดทะเบียนหรือไม่ชำระภาษี 205 ราย นำรถแท็กซี่หมดอายุมาใช้ 96 ราย ขับรถไม่แสดงใบอนุญาตหรือสำเนาคู่มือรถ 76 ราย และปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร 69 ราย
การตรวจสอบการให้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะ จำนวน 5,949 ราย พบการกระทำความผิด 298 ราย ความผิดส่วนใหญ่ ได้แก่ ใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด 100 ราย นำรถออกนอกเส้นทางโดยไม่ได้รับอนุญาต 51 ราย ไม่นำรถเข้าตรวจสภาพตามระยะเวลาที่กำหนด 31 ราย อุปกรณ์ส่วนควบของตัวรถไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่ถูกต้อง 25 ราย แก้ไขดัดแปลงเพิ่มจำนวนที่นั่ง 7 ราย ส่วนการตรวจสอบการให้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 939 ราย พบการกระทำความผิด 148 ราย เป็นการฝ่าฝืนนำรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมาให้บริการ 112 ราย ไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง 31 ราย ไม่แสดงใบอนุญาตขับรถ 3 ราย และใช้รถไม่จดทะเบียนหรือไม่ชำระภาษี 2 ราย ขบ.
ได้เปรียบเทียบปรับพร้อมบันทึกประวัติการกระทำผิดไว้ที่ศูนย์ข้อมูลประวัติผู้ขับรถสาธารณะ และอบรมผู้กระทำความผิดเพื่อสร้างจิตสำนึกการให้บริการที่ดี ปรับปรุงพฤติกรรมการให้บริการให้มีคุณภาพ และป้องกันการกระทำความผิดซ้ำซาก นอกจากนี้ ขบ. จะพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถสาธารณะทันที สำหรับผู้กระทำความผิดที่ไม่พัฒนาปรับปรุงการให้บริการ มีความผิดซ้ำในข้อหาความผิดเดิม
สำหรับกรณีแท็กซี่สิ้นอายุการใช้งาน ขบ. ได้ยึดแผ่นป้ายทะเบียนไว้เพื่อป้องกันการนำรถให้บริการประชาชน ซึ่งการฝ่าฝืนใช้รถแท็กซี่สิ้นอายุการใช้งานส่วนใหญ่จะพบให้บริการอยู่ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เช่น มีนบุรี นนทบุรี เป็นต้น ขบ. ขอให้ประชาชนที่จะใช้บริการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยการสังเกตสภาพรถที่อาจเก่าหรือทรุดโทรมผิดปกติ ไม่มีป้ายวงกลมแสดงการต่อทะเบียน เนื่องจากการใช้บริการรถที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่สิ้นอายุ รถแท็กซี่ป้ายดำ รถจักรยานยนต์ป้ายดำ ผู้โดยสารจะไม่ได้รับความคุ้มครองและยากต่อการติดตามตัวในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือการให้บริการไม่พึงประสงค์