กระทรวงพาณิชย์ พัฒนา “ธุรกิจบริการก่อสร้างและวิศวกรรม” ต้นแบบ 30 ราย เข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพธุรกิจ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า เตรียมผลักดันเข้าตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่ทุกประเทศกำลังเร่งลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ พร้อมแนะใช้ไอทีในการบริหารจัดการโครงการ บริหารงานการตลาด และใช้นวัตกรรมขยายฐานลูกค้าทั้งไทยและเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพธุรกิจให้เข้มแข็ง มั่นใจ!! ก่อสร้างไทยฝีมือดีเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) มีนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งส่งเสริมธุรกิจบริการของไทยทุกประเภทให้มีความเข้มแข็ง มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อให้ภาคธุรกิจบริการของไทยมีความพร้อมในการแข่งขันและสามารถส่งออกภาคบริการสู่ตลาดต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพด้านการให้บริการที่เป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยมีจุดแข็ง คือ ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญ มีฝีมือและหัวใจบริการที่ยึดความพึงพอใจและการตอบสนองของลูกค้าเป็นหลัก ที่จะรองรับโอกาสที่ดีของไทยในการใช้ธุรกิจบริการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ โดยหนึ่งในธุรกิจบริการที่กระทรวงฯ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนา คือ ธุรกิจบริการก่อสร้างและวิศวกรรม”
“กรมฯ ได้ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจบริการก่อสร้างและวิศวกรรมของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นพัฒนาด้านการบริหารจัดการธุรกิจให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ล่าสุดได้ดำเนินการพัฒนาธุรกิจบริการก่อสร้างและวิศวกรรมไทยให้เป็นต้นแบบเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจ ประกอบด้วยหมวดคุณภาพ 5 ด้าน คือ 1) ด้านการให้บริการ 2) ด้านการตลาด 3) ด้านบุคลากร 4) ด้านบริหารจัดการธุรกิจ และ 5) ด้านผลประกอบการ ซึ่งผู้ที่จะผ่านเกณฑ์มาตรฐานฯ ต้องผ่านเกณฑ์ฯ การประเมินครบทั้ง 5 ด้าน ทั้งนี้ กรมฯ ได้มีการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการบริหารจัดการธุรกิจฯ ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุน การจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบเพื่อให้รู้และเข้าใจถึงสถานการณ์บริหารจัดการทางการเงิน รวมถึง การศึกษา วิเคราะห์ สภาพปัญหา จุดอ่อนจุดแข็งของธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจนำไปประยุกต์ใช้และปรับปรุงการดำเนินกิจการของแต่ละองค์กรเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างมั่นคงเข้มแข็ง”
ทั้งนี้ กรมฯ ได้คัดเลือกธุรกิจบริการก่อสร้างและวิศวกรรมไทยที่ผ่านการพิจารณา จำนวน 5 ราย เพื่อเป็นธุรกิจบริการก่อสร้างและวิศวกรรมต้นแบบ (Best Practice) ได้แก่ 1) บจ. เปป เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น 2) บจ. นิวเทคโนโลยี่ เอ็นจิเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น 3) บจ. เมคเคอร์โฮม 4) บจ. ไทยเซอิ (ไทยแลนด์) และ 5) บจ. ชำนาญกิจ วิศวกรรม
“ซึ่งจากผลการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของการบริการจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นในการพัฒนาในด้านการบริหารจัดการธุรกิจ การให้บริการ และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างเข็มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล”
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการก่อสร้างฯ ขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศอาเซียนด้วย โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังให้ความสำคัญต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งธุรกิจบริการก่อสร้างฯ เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานฯ ธุรกิจบริการก่อสร้างฯ ของไทย จึงควรเร่งสร้างมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเตรียมความพร้อมของธุรกิจอย่างเต็มที่เพื่อให้พร้อมขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และคาดว่าธุรกิจบริการก่อสร้างฯ ของไทยจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเทคโนโลยี/แรงงานก่อสร้างและวิศวกรรมของไทยมีฝีมือดีเป็นที่ยอมรับ จึงมั่นใจว่า “ธุรกิจบริการก่อสร้างฯ ของไทยเป็นที่ต้องการของตลาดเพื่อนบ้านและตลาดโลกอย่างแน่นอน” อย่างไรก็ตามแม้แนวโน้มด้านตลาดที่ขยายเพิ่มมากขึ้น แต่แนวโน้มด้านนวัตกรรมวัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ๆ ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างต้องมีการเรียนรู้และปรับตัว จากการก่อสร้างโดยใช้แรงงานจำนวนมาก มาเป็นวิธีการประกอบจากวัสดุก่อสร้างสำเร็จรูป รวมถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟแวร์ และแอพพลิเคชั่นต่างๆ เข้ามาใช้ตั้งแต่การออกแบบ การบริหารโครงการก่อสร้าง จนกระทั่งการบริการหลังการขาย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขวางมากขึ้น และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจให้มีความเข้มแข็งรองรับการขยายตัวภาคเศรษฐกิจของประเทศ”