ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทย เป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งของระบบสุขภาพในการสร้างสุขภาพและความเป็นธรรมทางสุขภาพให้แก่ประชาชนในประเทศ ประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 15 ปี แสดงให้พบว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติว่า สามารถสร้างหลักประกันสุขภาพให้กับคนไทยได้ถ้วนหน้า มีประสิทธิผลดีระดับหนึ่งในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอันเป็นอุปสรรคอันสำคัญในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ประมาณการว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถป้องกันครัวเรือนจากความยากจนเพราะค่าใช้จ่ายทางสุขภาพได้มากกว่า 76,000 ครัวเรือนภายหลัง 7 ปีของการดำเนินการ และส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจในเชิงบวก (1.2 ต่อ 1) อย่างไรก็ตาม ด้วยความท้าทายหลายประการต่อระบบหลักประกันสุขภาพ เช่น สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ มีอัตราการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประเด็นดังกล่าวนี้ทำให้เกิดคำถามจากภาคส่วนเกี่ยวกับความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศ ตลอดจนการมีข้อมูลบ่งชี้ก่อนหน้านี้ถึงความแตกต่างระหว่างระบบหลักประกันสุขภาพ 3 ระบบของประเทศ ซึ่งรวมถึงประเด็นทางสุขภาพ ที่ยังสะท้อนช่องว่างด้านความเป็นธรรม
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบสาธารณสุข ด้านการคลังและระบบหลักประกันสุขภาพ โดยมี ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล เป็นประธานฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ประมาณต้นปี 2559 ได้ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าว และนำเป้าประสงค์ SAFE ที่เสนอไว้โดยคณะกรรมการจัดทำแนวทางการระดมทรัพยากรเพื่อความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปี 2558 ประกอบด้วยเป้าประสงค์ด้านความยั่งยืน (Sustainability-S) ความเพียงพอ (Adequacy-A) ความเป็นธรรม (Fairness-F) และประสิทธิภาพ (Efficiency-E) มาพิจารณา เพื่อค้นหาและสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายให้ได้แนวทางในการถ่ายทอดเป้าประสงค์ดังกล่าวสู่การปฏิบัติ โดยได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน 4 คณะ และมีการประชุมมาอย่างต่อเนื่องตลอด 6 เดือน เพื่อทบทวนและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อคิดเห็นระหว่างกรรมการที่เป็นตัวแทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ตลอดจนกรรมการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการที่มีประสบการณ์ทำงานในด้านหลักประกันสุขภาพ นำมาสู่การจัดประชุมวิชาการในวันที่ 10 - 11 ตุลาคมนี้ เพื่อนำเสนอแนวคิดและร่างข้อเสนอที่สำคัญของคณะอนุกรรมการฯ ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ที่จะนำไปปรับปรุงรายงานข้อเสนอฯ ที่จะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 ที่มี ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานต่อไป
สาระสำคัญของข้อค้นพบ และร่างข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ที่มีการนำเสนอในที่ประชุมวิชาการ 10 - 11 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมานี้ สามารถสรุปเป็นรายประเด็นได้ดังนี้
ทั้งนี้ ความยั่งยืนของหลักประกันสุขภาพ ขึ้นอยู่กับ (1) หลักการจัดการเชิงระบบเพื่อพัฒนาสู่ความเป็นธรรม (2) การใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรที่มีความคุ้มค่า (3) ระบบการดู แลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (4) การมีแหล่งการคลังที่เพียงพอ
การนำเสนอกรณีศึกษาการดำเนินการที่น่าสนใจภายในระบบบริการสาธารณสุขในปัจจุบันในการประชุมวิชาการครั้งนี้ เช่น การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการในระดับเขต การพัฒนารูปแบบใหม่แบบบูรณาการในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังของโรงพยาบาลต่างๆ แสดงให้เห็นว่าระบบบริการสาธารณสุขของประเทศมีการปรับตัว รวมถึงสร้างนวัตกรรมของระบบการจัดการและการดูแลสุขภาพใหม่ๆ ที่น่าจะมีการต่อยอดและขยายผล เพื่อนำสู่การเพิ่มประสิทธิภาพภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพได้
ทั้งนี้ แหล่งการคลังที่สำคัญของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ายังคงเป็นงบประมาณภาครัฐโดยอาศัยระบบภาษีเป็นหลัก เนื่องจากยังเป็นทางเลือกของแหล่งการคลังทางสุขภาพที่มีความเป็นธรรมสูงที่สุด และไม่สร้างภาระหรืออุปสรรคในการเข้าถึงบริการของประชาชน
ในขณะเดียวกัน ควรมีการพัฒนาระบบประกันเพิ่มของเอกชน ที่ให้ประกันในสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติมจาก สิทธิประโยชน์หลักในระบบประกันสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์ที่ดีมีมาตรฐานอย่างเพียงพอสำหรับคนไทย การประกันเพิ่มจะทำให้ ทุกคน ทุกสิทธิมีโอการได้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตรงตามความต้องการของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลปี 2557 พบว่า การจ้างและการตอบแทนบุคลากรของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขในส่วนของภาคบริการ มีการใช้เงินงบประมาณเพียงร้อยละ 57 โดยตัวเลขปี 2559 ชี้ว่ามีบุคลากรที่ไม่ใช่ข้าราชการอยู่ถึงร้อยละ 16 ดังนั้น ต้องทบทวนและวางแนวปฏิบัติให้ชัดเจนว่า หากมีการแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนออกไปจากงบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงินงบประมาณโดยรวมที่จะสามารถนำมาใช้ในระบบบริการสาธารณสุขจะไม่ลดลง
นอกจากนี้ การตัดแยกงบประมาณดังกล่าวออกจากงบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาจไม่ใช่การแก้ไขต้นเหตุของปัญหาการขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวได้โดยทั้งหมด และไม่ว่าจะเลือกทางใด คณะอนุกรรมการฯ ยังคงเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องการมีการศึกษา ทบทวนและวางแผนการกระจายทรัพยากรบุคคลทางสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ ภายใต้แนวคิดของการปรับปรุงระบบงานบริการ และนวัตกรรมของการจัดบริการสุขภาพในรูปแบบใหม่ เพื่อให้มีบุคลากรเพียงพอในการให้บริการแก่ประชาชน และให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ