ผอ.สถาบันวัคซีน แจงปมซักฟอกอินเดียเสนอขายวัคซีนให้ไทยเป็นข่าวเท็จ เผยไทยมีวัคซีน 63 ล้านโดส ที่จะฉีดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าการบริหารการจัดการวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยว่า มีการวางแผนจัดหาวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ได้เจรจาขอข้อมูลกับผู้ผลิตประเทศต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยตั้งเป้าต้องได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตด้วย เพื่อรับมือกับการระบาดในเวลานี้และในอนาคต
เดือนกรกฎาคม 2563 บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ได้แสวงหาพันธมิตรผู้ร่วมผลิตวัคซีนโควิด-19 ในเทคโนโลยีไวรัสเวคเตอร์ มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็น Hub การผลิตวัคซีนกว่า 60 แห่ง โดยแอสตร้าเซนเนก้า ได้ประเมินและคัดเลือก 25 บริษัทเป็นผู้ร่วมผลิต หนึ่งในนั้นคือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เนื่องจากประเมินศักยภาพแล้วมีมาตรฐานเหมาะสมที่จะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องสนับสนุนพัฒนาศักยภาพเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อให้พร้อมรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เร็วที่สุดเพื่อผลิตวัคซีน และมีการเจรจาจองซื้อวัคซีนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
“ถ้าจองซื้อวัคซีนกับบริษัทอื่น เป็นการซื้ออย่างเดียว แต่การจองซื้อกับแอสตร้าเซนเนก้า เราได้ศักยภาพการผลิตวัคซีนระดับโลกไว้กับเราด้วย ไม่ว่าจะอยู่กับภาครัฐหรือเอกชนไม่สำคัญ เพราะอยู่ในประเทศไทย ที่สำคัญแอสตร้าเซนเนก้ามีความมั่นใจอย่างมาก ได้เริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่เดือนตุลาคม” นพ.นครกล่าว
ส่วนการจองซื้อวัคซีนกับแอสตร้าเซนเนก้าและโครงการโคแวกซ์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากค่าจองของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นส่วนหนึ่งของราคาวัคซีน แต่การจองกับโคแวกซ์เงินที่เรียกว่า UPFRONT PAYMENT เป็นค่าบริหารจัดการ ค่าวัคซีนจะกำหนดเมื่อทราบว่าได้วัคซีนของบริษัทใด และต้องจ่ายตามราคาที่ผู้ผลิตกำหนด ทั้งนี้ ราคาวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ระบุว่าประเทศไทยซื้อแพงกว่าในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดสนั้น ความจริงคือราคาอ้างอิงในเว็บไซต์ยูนิเซฟ ข้อมูลราคาจากบางแหล่ง เป็นราคาที่ไม่รวมเงินสนับสนุนวิจัย ที่ได้มีการสนับสนุนไปก่อนหน้า นอกจากนี้ ในแต่ละแหล่งผลิต ราคาต้นทุนวัตถุดิบมีความแตกต่างกันตามช่วงเวลา หากเป็นวัตถุดิบตั้งแต่ปีที่แล้วราคาถูกกว่า แต่ช่วงปลายปี 2563 มีความต้องการผลิตวัคซีนสูง ทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น จึงเกิดความต่างเรื่องของราคา แต่อยู่บนหลักการไม่มีกำไรไม่มีขาดทุน
สำหรับข่าวบริษัทอินเดียเสนอขายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแต่เราไม่ซื้อ เป็นข่าวเท็จทางโซเชียลมีเดีย ข้อเท็จจริงคือเป็นการเสนอความร่วมมือวิจัยวัคซีนกับไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอสตร้าเซนเนก้า ส่วนโคแวกซ์ไทยยังเดินหน้าเจรจาเข้าร่วม ให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะสมกับไทย ส่วนประเด็นการใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในผู้สูงอายุ ยึดตามความเห็นขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าวัคซีนใช้กับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปได้
“เราจัดซื้ออย่างโปร่งใสมีคณะกรรมการตรวจสอบ พิจารณาเงื่อนไขสัญญาต่างๆ โดยหน่วยงานกำกับกฎหมายของประเทศ ไม่ได้ปกปิด และขอให้มั่นใจศักยภาพว่าประเทศไทยไม่แพ้ใครในโลก สามารผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพระดับโลกได้ เราไม่ต้องมีวัคซีนหลากหลายชนิด ขอให้มีมากพอครอบคลุมประชากร และจัดบริการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพ” นพ.นครกล่าว