บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563 มีกำไร 37,765.81 ล้านบาท ลดลง 59.4% จากกำไร 92,950.60 ล้านบาท ในงวดปี 2562 ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,615,665 ล้านบาท ลดลง 27.2% จากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ ตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง ยกเว้นกลุ่มเทคโนโลยี และวิศวกรรมมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเข้าซื้อ GLOW ของ GPSC
โดยในปี 2563 มี EBITDA จำนวน 225,672 ล้านบาท ลดลง 63,300 ล้านบาท หรือ 21.9% สาเหตุหลักจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ผลการดำเนินงานปรับลดลงตาม ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง แม้ปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นโดยหลักจากโครงการมาเลเซีย และกลุ่ม Partex ภายหลังการเข้าซื้อธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีก่อน ประกอบกับผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลงอย่างมาก โดยหลักจากขาดทุนสต็อกน้ำมันในปี 2563 จำนวนประมาณ 19,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบ ที่ปรับลดลงอย่างมาก จากสิ้นปี 2562 ที่ 67.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 51.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ณ สิ้นปี 2563 เนื่องจากสงครามราคาน้ำมัน สภาวะอุปทานล้นตลาดของ
น้ำมันดิบ ประกอบกับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ปี 2562 มีกำไรสต็อกน้ำมันประมาณ 2,800 ล้านบาท โดย Market GRM ปรับลดลงจาก 2.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2562 เป็น 0.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2563 ตามส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูป กับน้ำมันดิบที่ลดลงในเกือบทุกผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ เนื่องจากราคาขายที่ลดลงตามราคาปิโตรเคมีอ้างอิงในตลาดโลกปรับลดลง และปริมาณขายที่ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 ตามการปิดซ่อมบำรุงและปรับลดกำลังการผลิตให้เหมาะสมตามอุปสงค์ที่ลดลงของลูกค้าในปี 2563 และธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซมีผลการดำเนินงานลดลง เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยที่อ้างอิงราคาก๊าซและราคาน้ำมันเตาลดลง และปริมาณขายที่ลดลง
ส่วนในไตรมาส 4/63 มีกำไร 13,147 ล้านบาท ลดลง 24.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 และลดลง 6.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63 ขณะที่บริษัทมี EBITDA ในไตรมาส 4/63 จำนวน 71,614 ล้าบาท เพิ่มขึ้น 4,149 ล้านบาท หรือ 6.1% จากไตรมาส 3/63 สาเหตุหลักจากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมี ที่ในไตรมาส 4/63 ได้แรงสนับสนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ตามสภาพเศรษบกิจโดยรวมที่ฟื้นตัว และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประเทศ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญในด้านสุขอนามัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยีและวิศกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการเข้าซื้อ GLOW ของ GPSC ในช่วงปลายไตรมาส 1/62 PTT ในปี 2564 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 55-60 เหรีญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-2.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล