นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสทุกด้านแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ให้มีศักยภาพในการเติบโต ล่าสุดได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ที่จะเอื้อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าหรือบริการของเอสเอ็มอีที่ขึ้นบัญชีไว้กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในวงเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงอยากขอเชิญชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ขึ้นบัญชีผู้ประกอบการและรายการสินค้าและบริการในระบบที่ สสว. จัดทำขึ้น ผ่านเว็บไซต์ www.thaismegp.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนได้นั้น ครอบคลุมทั้งที่เป็นนิติบุคคล บุคคลธรรมดา หรือวิสาหกิจชุมชน มีคุณสมบัติเป็นไปตามนิยามเอสเอ็มอีที่ สสว. กำหนดคือ หากอยู่ในภาคการผลิต จะต้องมีรายได้ไม่กิน 500 ล้านบาทต่อปี ส่วนภาคการค้าและบริการ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อปี เมื่อขึ้นบัญชีกับ สสว.แล้ว จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐในแต่ละจังหวัดได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ด้วยแต้มต่อร้อยละ 10 ในการแข่งราคาด้วยวิธีอี-บิดดิ้ง ด้วย
รัฐบาล เชื่อว่า แนวทางนี้จะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้มแข็งและเติบโตได้มากขึ้น สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ ซึ่งในระยะต่อไปจะยังคงมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคเพื่อสนับสนุนและเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นผู้ประกอบการที่เป็นฐานรากที่สำคัญของเศรษฐกิจทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งจ้างงานและผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ