บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เดินหน้าลุยธุรกิจพลังงานครบวงจร มุ่งเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไฟฟ้า พร้อมขยายพอร์ตโฟลิโอพลังงานหมุนเวียนและ Smart Energy Solution ตอบรับกับ เทรนด์พลังงานโลก ต่อยอดสู่ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค โดยเตรียมงบลงทุนกว่า 150,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ 4I เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงด้วยระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “ในภาพรวมของปี 2563 อุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในลักษณะเทคโนโลยีดิสรัปชัน ท่ามกลางความ ท้าทายนี้ เอ็กโก กรุ๊ป สามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจในสถานการณ์ New Normal ได้อย่างรวดเร็วโดยสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ใหม่และ ในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การเริ่มเดินเครื่องเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้ากังดง ในเกาหลีใต้ การลงทุนใหม่ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังเป็นบริษัทไฟฟ้าไทยรายแรกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ ประเภทอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า”
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต เอ็กโก กรุ๊ป ได้ปรับกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยมุ่งขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจทั้งด้านการผลิตและให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution โดยดำเนินการภายใต้ กลยุทธ์ 4I ได้แก่ Invest ลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว Improve ปรับปรุงและบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้มีความเป็นเลิศ Innovate ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และ Increase เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านการเงิน
เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะในพลังงานหมุนเวียนและ Smart Energy Solution เพื่อให้สอดรับกับทิศทางของการส่งเสริมพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนของโลก โดยมีแผนเข้าลงทุนในโครงการใหม่ในลักษณะการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศเป้าหมายที่มีฐาน การลงทุนอยู่แล้ว เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
“ล่าสุดเอ็กโก กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการลงทุนในโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 972 เมกะวัตต์ ที่เมืองลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะปิดดีลและรับรู้รายได้ทันทีใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน เป็นสินทรัพย์คุณภาพ ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดี ใกล้กับแหล่งจ่ายก๊าซธรรมชาติ จึงทำให้มีต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำ รวมทั้งขายไฟฟ้าให้กับรัฐนิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์ก ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และยังมีสัญญาขายไอน้ำและไฟฟ้าระยะยาวกับลูกค้ารายใหญ่ การลงทุนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเอ็กโก กรุ๊ป ในการเปิดประตูสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในอนาคต” นายเทพรัตน์กล่าว
ในขณะเดียวกัน เอ็กโก กรุ๊ป ยังต่อยอดการลงทุนไปยังธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution ในฐานะผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมพลังงานอย่างครบวงจร โดยมุ่งเน้นแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศโดยปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา เช่น โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีกำหนดเปิดดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ลักษณะ Smart and Green Industrial Estate ซึ่งได้ลงนามสัญญาร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนมกราคม 2564 โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายในปี 2565 การยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Shipper) ปริมาณ 200,000 ตันต่อปี เพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โครงการ Solar Solution Provider เพื่อให้บริการด้านผลิตภัณฑ์และระบบโซลาร์เซลล์ระดับพรีเมี่ยมอย่างครบวงจร โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ และโครงการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่ม กฟผ. ผ่านบริษัท EGAT Innovation Holding เพื่อทำธุรกิจที่เกี่ยวกับนวัตกรรมไฟฟ้าและธุรกิจ New S Curve
“จากทิศทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว เอ็กโก กรุ๊ป ได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 150,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนา รวมถึงการลงทุนในโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการเจรจา ภายในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ หากมองระยะสั้นภายในปี 2564 คาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าในพอร์ตโฟลิโอได้ถึง 1,000 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน สหรัฐอเมริกา และโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่าง การเจรจา ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้บริษัทและสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย” นายเทพรัตน์กล่าว
ปี 2563 มีกำไรจากการดำเนินงาน 8,738 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลทั้งปี หุ้นละ 6.50 บาท
ด้านผลประกอบการในปี 2563 เอ็กโก กรุ๊ป มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) จำนวน 8,738 ล้านบาท ลดลง 1,630 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16% เมื่อเทียบกับ ปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ลดลงของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพาจู โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โรงไฟฟ้าเคซอน โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 และโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2563 จำนวนหุ้นละ 3.50 บาท ทั้งนี้ หากรวมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2563 จำนวน หุ้นละ 3 บาท จะเป็นการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563 รวมหุ้นละ 6.50 บาท โดยมีกำหนดจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 19 เมษายน 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2564
คาดปี 2564 มีกำไรจากการดำเนินงานดีกว่าปีก่อน จากการรับรู้รายได้ของโครงการใหม่
“สำหรับปี 2564 คาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” สหรัฐอเมริกา โครงการโรงไฟฟ้า “หยุนหลิน” ไต้หวัน ซึ่งจะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 และโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ปี 2564” นายเทพรัตน์ กล่าวสรุป