คมนาคมดันโครงการแลนด์บริดจ์ สั่ง สนข. ศึกษา คาดเสนอ ครม.อนุมัติปี 2565 “ศักดิ์สยาม” วางโมเดลประมูลรวบ 3 โครงการ ท่าเรือน้ำลึก มอเตอร์เวย์ และรถไฟทางคู่ เม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกกระทรวงคมนาคม กล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษา ความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดีย ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออกผ่านช่องแคบมะละกา (สิงคโปร์) ซึ่งเส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่อ้อมและมีระยะไกล การจราจรทางน้ำคับคั่ง มีความหนาแน่นของปริมาณเรือสูงถึง 100,000 ลำ/ปี และคาดว่าในปี 2567 การรองรับปริมาณเรือของช่องแคบมะละกาจะเต็มศักยภาพ จึงให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาโครงการดังกล่าว ในวงเงิน 68 ล้านบาท ระยะเวลา 30 เดือน เริ่ม 2 มี.ค. 64-1 ก.ย.66
โดยขอบเขตการศึกษา ประกอบด้วย 1.ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ วิศวกรรม สังคม 2.ออกแบบรายละเอียดและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 3.จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ 4.วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน และ 5.สร้างความเข้าใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านตลอดระยะเวลาดำเนินงาน คาดว่าจะศึกษาเสร็จภายในปี 2565
“คาดว่า ภายในปีหน้าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ และเริ่มการประกวดราคา โดยคาดว่าภายใน 30 เดือนนี้ จะได้ตัวเอกชนร่วมลงทุน และใช้เวลาก่อสร้างอีก 3 ปี โครงการแล้วเสร็จใกล้เคียงกับอีอีซีที่จะเปิดในปี 2568”
สำหรับโครงการดังกล่าว กระทรวงคมนาคมจะบูรณาการรูปแบบการขนส่งเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือระนองแห่งใหม่และท่าเรือชุมพร โดยออกแบบให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัย (Smart Port) ควบคุมการบริหารจัดการด้วยระบบออโตเมชั่น รวมทั้งการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) และรถไฟทางคู่ ตลอดจนวางระบบการขนส่งทางท่อ โดยทำการก่อสร้างไปพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องตามแผนบูรณาการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินของภาคประชาชน เบื้องต้นวงเงินลงทุนทั้งโครงการ ประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรูปแบบให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐ (PPP)
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า เมื่อผลการศึกษาแล้วจะเสนอรูปแบบการลงทุนโครงการนี้รวมกันเป็นแพ็คเก็จ ทั้งการสร้างท่าเรือ สร้างรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อดำเนินการก่อสร้างพร้อมกัน คาดว่า ใช้เวลาสร้าง 3 ปี ซึ่งรูปแบบหาเอกชนลงทุนคาดว่าจะเป็นการประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) เบื้องต้นสัดส่วนในการลงทุนสำหรับรัฐบาลกำหนดให้ต่างชาติเข้ามาลงลงทุน 30% ขณะที่กระทรวงคมนาคมกำหนดให้ต่างชาติลงทุน 50% ซึ่งคาดว่า ผู้ที่มาลงทุนจะเป็นเอกชนรายกลุ่มที่รวมตัวกันเป็นรายเดียว นอกจากนี้ หลังจากศึกษาแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางไปประชาสัมพันธ์โครงการในต่างประเทศ (Road Show) เพื่อดึงนักลงทุนจากต่างประเทศมาร่วมลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ ที่ จ.ชุมพร และ จ.ระนอง นั้น บริษัทที่ปรึกษาจะศึกษาความเหมาะสม พร้อมทั้งประสานกับพื้นที่ที่จะก่อสร้าง โดยในเบื้องต้นมีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมหลายแห่ง ขณะที่ระบบการขนส่งทางท่อนั้น จะทำการศึกษาไว้ให้ แต่เอกชนที่จะมาลงทุนกระทรวงพลังงานต้องเป็นผู้ดำเนินต่อไป ซึ่งจะแยกโครงการต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าเพิ่มในเรื่องผลิตภัณฑ์มวลรวมรายภาคและจังหวัด (Gross Provincial Products : GPP) ในส่วนของภาคใต้ปัจจุบันอยู่ที่ 2% หรือ 24,000 ล้านบาท ให้เป็น 10% หรือ 120,000 ล้านบาท ภายใน 10 ปี หลังจากโครงการแล้วเสร็จหรือในปี 79 ลดระยะเวลาการขนส่งทางเรือลงได้ถึง 2 วัน ช่วยเปลี่ยนโฉมการเดินทางทางน้ำในเรื่องโลจิสติกส์ทางน้ำของโลก สามารถดำเนินโครงการเชื่อมต่อรถไฟรางคู่ขนส่งสินค้าไปยังหลุ่มทางภาคเหนือ เพื่อเชื่อมไป สปป.ลาว จีน และรัฐเซียได้
ขณะที่ภาคใต้เชื่อมไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ รวมทั้งภาคตะวันออกเชื่อมไปยังกัมพูชาและเวียดนามด้วย ตลอดจนช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาค เปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยสร้างโอกาส สร้างงานและรายได้เพิ่มขึ้น