นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้รายงานผลสอบสวนข้อเท็จจริงการจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท มาให้แล้ว โดยพบว่าผู้ถูกสอบสวนทั้ง 3 คนมีความผิดทางวินัยร้ายแรง จึงเห็นควรให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับทั้ง 3 ราย มีโทษสูงสุดคือไล่ออกและให้ออก รวมถึงให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ อคส.เป็นเงินมัดจำถุงมือยาง 2,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย และความเสียหายอื่นๆ นอกจากนี้จะเร่งส่งผลการสอบสวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกอบการพิจารณาในการไต่สวนถุงทางอาญาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการกดดันให้ นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการคณะกรรมการ อคส. ลาออกด้วยหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับดุลพินิจว่าเขาควรทำตัวอย่างไร แต่ยืนยันว่าไม่ว่าใครที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะถูกดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ไม่มีการปกป้องใครเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งหากพบคนที่นอกเหนือจากทั้ง 3 ราย หรือผู้มีอำนาจสูงกว่าก็ไม่มีรอดการไต่สวนจากป.ป.ช.
นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า วันที่ 22 มี.ค.นี้ ตนจะออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับทั้งเจ้าหน้าที่ อคส.ทั้ง 3 ราย มีกรอบเวลาพิจารณา 30 วัน และตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด มีกรอบเวลา 60 วัน ส่วนผลสืบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดจะจัดส่ง ป.ป.ช.ได้วันที่ 19 มี.ค.นี้ เพื่อขยายผลต่อไป ส่วนสัญญาค้าถุงมือยางที่ทำกับเอกชนนั้น ถือเป็นโมฆะทั้งหมด
พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ อคส.ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ราย ที่ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้ส่งหนังสือกลับมายังคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ 3 ราย ที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ได้แก่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. และเจ้าหน้าที่บริหารอคส. ระดับ 8 คือ นายเกียรติขจร แซ่ไต่ และนายมูรธาธร คำบุศย์