โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
ท้าชนตะวันตก
รากฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่เติบโตจนกลายเป็นชาติมหาอำนาจทุกวันนี้ได้ ก็เพราะ “แรงงานทาสผิวดำ” ที่กวาดต้อนมาจากแอฟริกาและซื้อขายกันแบบวัวควายเพื่อใช้งานเมื่อกว่า 200 ปีก่อน
ประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาได้บันทึกไว้อย่างละเอียดว่ามี ประธานาธิบดีถึง 12 คน ที่เคยมีทาสไว้ในครอบครอง รวมถึง จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 17
ว่ากันว่าช่วงปี ค.ศ. 1801-1862 ถือเป็นยุคทองของอเมริกาที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองสุดขีดจากการใช้แรงงานทาสที่คาดการณ์ว่ามีมากถึง 4 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรทั้งไร่ยาสูบ ไร่อ้อย โดยเฉพาะในไร่ฝ้ายทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลผลิตสูง กลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของอเมริกา
แต่เมื่ออับราฮัม ลินคอล์น ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1860 เขาได้ดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้คือ ประกาศเลิกทาสในปี 1862
แม้วันนี้บนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาจะไม่มีทาสแล้ว แต่การเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำก็ไม่เคยจางหายไปจากอเมริกา การเหยียดผิวยังฝังรากลึกอยู่ในสังคมอเมริกัน และยังเป็นปัญหาต่อเนื่องดังกรณีการประท้วง Black Lives Matter ที่กลายเป็นจลาจลเผาบ้านเผาเมืองเมื่อกลางปีที่แล้ว
ถึงวันนี้ปัญหาเหยียดผิวได้ขยายมายังคนเอเชีย ก็เพราะอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บ่มสร้างความเกลียดชังคนจีนเอาไว้ในช่วงดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยเฉพาะช่วงเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไว้รัสโควิด-19 ที่ทรัมป์ใส่ไฟว่าเป็น “ไวรัสจีน”
ความเกลียดและกลัวจีนที่ลามมายังคนเอเชียนั้น นึกว่าจะบรรเทาเบาบางลงในยุคประธานาธิบดี โจ ไบเดน แต่ทำไปทำมาวันนี้ดูท่าอาจจะหนักข้อยิ่งขึ้น เพราะอเมริกาในยุคไบเดนยังเล็งเป้าจีนว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงที่ต้องหาทางบั่นทอนบทบาทจีนลงในทุกๆ ด้าน
รัฐบาลวอชิงตันยุคไบเดนไม่ได้ชนกันจีนแบบเดี่ยว แต่ได้ลากบรรดาชาติพันธมิตรตะวันตกมาร่วมดิสเครดิตจีนว่าให้การสนับสนุนกองทัพเมียนมา ในเวลาเดียวกันก็ขุดเรื่องเก่าละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงมาเล่นจีนอีก โดยสื่อตะวันตกสำนักหนึ่งได้เสนอข่าวเรื่องค่ายกักกันและการใช้แรงงานชาวอุยกูร์แบบทาสในการเก็บฝ้าย
สหรัฐอเมริกาเคยใช้แรงงานทาสเก็บฝ้ายเมื่อ 200 ปีก่อน วันนี้มีการปลุกผีทาสเก็บฝ้ายขึ้นในซินเจียง
จีนส่งออกฝ้ายมากเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายขนาดใหญ่
ข่าวดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิกริยาต่อเนื่องมากมาย ตอนนี้สงครามการค้าได้ขยายตัวเป็นระหว่างจีนกับ สหรัฐอเมริกา+ยุโรป มีสินค้าแบรนด์ดังหลายยี่ห้อ อาทิ H&M, Tommy Hilfiger, Adidas, Nike, Converse และ Calvin Klein ประกาศไม่รับ “ฝ้ายซินเจียง” เป็นวัตถุดิบ โดยอ้างว่าเกี่ยวข้องกับแรงงานทาส
โลกตะวันตกหวังกดดันทางเศรษฐกิจต่อจีน แต่ลืมคิดไปว่า สังคมจีนวันนี้ไม่เหมือนเดิม โลกโซเชียลของจีนได้ก่อให้เกิดปฏิกริยาโต้กลับจากผู้บริโภคชาวจีนที่มีเลือดรักชาติสูง ด้วยการรณรงค์ต่อต้านการซื้อสินค้าแบรนด์ต่างๆดังกล่าวที่ไม่เอาฝ้ายซินเจียง รวมไปถึงการบอกเลิกรับงานจากแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ในประเทศจีน
นอกจากรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าแบรนด์ดังแล้ว บางยี่ห้ออย่าง H&M ยังถูกลบออกจากแอปพิเคชั่นจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 3 ค่ายใหญ่ของจีน รวมทั้งถูกลบจากแอปพิเคชั่นแผนที่แสดงตำแหน่งร้านค้า
ผลที่สินค้าจากโลกตะวันตกได้รับคือ เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา H&M แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติสวีเดน รายงานการขาดทุนในไตรมาสแรกของงบการเงินปี 2021 (ธันวาคม 2020-กุมภาพันธ์ 20212) ว่า ขาดทุนก่อนหักภาษี 1.39 พันล้านโครนา (ประมาณ 5 พันล้านบาท) ซึ่งสวนทางกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ทำกำไร 2.5 พันล้านโครนา (ประมาณ 9 พันล้านบาท)
ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาประณาม “สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งจีน” (FCCC) อย่างรุนแรงว่า เป็นองค์กรด้านสื่อสารมวลชนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จึงยังดำเนินงานโดยปราศจากคุณธรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับสื่อต่างประเทศ (ตะวันตก) ค่อนข้างตึงเครียดรุนแรงนับตั้งแต่สมัยทรัมป์ ต่อเนื่องถึงไบเดนขึ้นมาครองตำแหน่ง เพราะเสนอข่าวตามกระแสการเมืองจากวอชิงตันที่โจมตีจีนเรื่อง ฮ่องกง ไต้หวัน ทะเลจีนใต้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง มาจนถึงการหนุนหลังการรัฐประหารในเมียนมา
การพบกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศจีนกับสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็มีการปะทะคารมที่ค่อนข้างรุนแรงขนาดต้องซี๊ดปาก
ฝ่ายอเมริกาแสดงความกร่างแบบเดิม งัดเรื่องเก่าๆ ทั้งค่ายกักกันชาวอุยกูร์ที่ซินเจียง อิทธิพลของจีนต่อฮ่องกงและไต้หวัน อ้างว่าจีนมีแผนโจมตีทางไซเบอร์ต่ออเมริกา จีนทำตัวขัดระเบียบโลกและความมั่นคงของโลก ซึ่งอเมริกาอยากให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อจะได้คุยกันด้วยดี
แต่จีนในยุคสี จิ้นผิง พิสูจน์ให้เห็นว่า สามารถรับแรงปะทะจากอเมริกาในยุคทรัมป์ได้อย่างไม่เกรงกลัว ดังนั้น จึงพร้อมรับกับไบเดนอย่างสมศักดิ์ศรี
ผู้แทนจีนบอกว่า อเมริกาก็มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในบ้านตัวเอง ทั้งเรื่องคนผิวสีและคนเอเชียที่ถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง อเมริกานั่นแหละตัวพ่อที่ใช้กองกำลังทหารสร้างอิทธิพลบีบบังคับ กดขี่ ครอบงำประเทศอื่น
ผู้แทนจีนบอกว่า รัฐบาลวอชิงตันมีนโยบายแบบ 2 มาตรฐาน หนุนผู้ประท้วงฮ่องกงที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนว่า “นักสู้” แต่เรียกผู้ประท้วงในบ้านตัวเองว่า “ผู้ก่อจลาจล”
“สหรัฐอเมริกาควรเลิกยัดเยียดประชาธิปไตยในแบบของตนให้ประเทศอื่น เพราะประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้ยอมรับค่านิยมของอเมริกาว่าเป็นค่านิยมของโลก” ฝากข้อความนี้กลับไปให้ไบเดนด้วย