เอไอเอส จับมือ วิศวะมหิดล วิจัยพัฒนานวัตกรรมต้นแบบหุ่นยนต์ "UVC Moving CoBot" หุ่นยนต์แขนกลเคลื่อนที่อัจฉริยะ สร้างพื้นที่ปลอดไวรัส ด้วยรังสียูวีซี ต้อนรับการเปิดประเทศให้คนไทยใช้ชีวิตในยุค Next Normal ได้อย่างอุ่นใจและปลอดภัย
เอไอเอส โดย AIS Robotic Lab ทีมพัฒนาหุ่นยนต์ 5G อัจฉริยะ ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามความร่วมมือ (MOA) ในการศึกษา วิจัย ทดลอง ทดสอบ เพื่อพัฒนานวัตกรรมต้นแบบจากเทคโนโลยี 5G เพื่อยกระดับงานด้านสาธารณสุข เสริมสร้างประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพให้กับคนไทย
โดยมีนวัตกรรมนำร่องคือ "UVC Moving CoBot" หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะฆ่าเชื้อไวรัสด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.99% นับเป็นเครื่องมือใหม่ช่วยธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเดินหน้าต่อด้วยมาตรฐานความปลอดภัย และช่วยให้คนไทยใช้ชีวิตในยุค Next Normal ได้อย่างอุ่นใจและปลอดภัย รับมือสถานการณ์ ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และตอบรับโรดแมปการเปิดประเทศ
นายอราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายขับเคลื่อนนวัตกรรม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด มหาชน (เอไอเอส) กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นนำเทคโนโลยีดิจิทัลและขีดความสามารถของทีมงาน ร่วมมายกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา กับ "โครงการ AIS ROBOT FOR CARE" ที่ได้นำศักยภาพของเครือข่าย 5G, AI, Cloud และ Robotic มาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ 5G เพื่อช่วยปฏิบัติงานทางการแพทย์
"เอไอเอส ภูมิใจอย่างยิ่งที่ทีม AIS Robotic Lab ได้ร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล วิจัยพัฒนา UVC Moving CoBot ระบบหุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ ที่ถือเป็นต้นแบบหุ่นยนต์อัจฉริยะ ที่จะพัฒนาเชิงพาณิชย์ในขั้นต่อไป"
จุดเด่นของ UVC Moving Cobot คือ แขนกลสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จึงสามารถทำความสะอาดโต๊ะ ตู้ เตียง ชั้นวางสินค้า และฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างทั่วถึง ซึ่งมีความปลอดภัยอย่างมาก และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมกันพัฒนาฟีเจอร์อัจฉริยะ อย่าง เทคโนโลยี Virtual Mapping ที่ช่วยกำหนดแผนที่เส้นทางเดินของหุ่นยนต์ให้เคลื่อนที่เข้าหาวัตถุหรือสถานที่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังสามารถบังคับหุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้ตามต้องการ ผ่านเครือข่าย 5G ทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อัตโนมัติ ตลอด 24 ชั่วโมง ลดภาระงานหนัก และลดความเสี่ยงต่ออันตรายจากรังสี UV-C และลดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยถือเป็นนวัตกรรมต้นแบบที่จะพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในอนาคต เพื่อสังคมและเศรษฐกิจไทย ช่วยให้ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทย และคนไทยสามารถใช้นวัตกรรมในราคาประหยัด ลดการนำเข้า สร้างความปลอดภัยในการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวัน นำมาซึ่งความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศนอกจากนี้ ยังถือเป็นเป็นการบ่มเพาะบุคลากรด้าน Digital และ Robotic ซึ่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย"
ดร.เอกชัย วารินศิริรักษ์ หัวหน้าทีมวิจัยและหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สำหรับ UVC Moving CoBot ระบบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ มีส่วนประกอบหลัก 4 อย่าง ซึ่งทำงานร่วมกันคือ 1. แหล่งกำเนิดรังสียูวีซี ขนาดกำลังอย่างน้อย 16 วัตต์ ขนาดหลอดยาว 25 - 35 เซนติเมตร ติดตั้งบนปลายแขนของหุ่นยนต์แขนกล 2. หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ ซึ่งแขนด้านหนึ่งของหุ่นยนต์ติดตั้งแหล่งกำเนิดรังสียูวีซี และแขนอีกด้านหนึ่งเป็นฐานของหุ่นยนต์ ติดตั้งเข้ากับ AGV รถนำทางอัตโนมัติ สามารถครอบคลุมการฉายรังสีในระยะ 65 - 75 ตารางเซนติเมตร เคลื่อนไหวได้ความเร็วต่ำสุด 2 เซนติเมตร/5 นาที และความเร็วสูงสุด 110 เซนติเมตร/นาที ยกโหลดน้ำหนักวัตถุได้ 5 กิโลกรัม
3. รถนำทางอัตโนมัติ (Automated Guide Vehicle: AGV) สามารถเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่มีแถบแม่เหล็กกำหนดไว้ ตัวรถมีความเร็วในการเดินทางไม่ต่ำกว่า 8 เมตร/นาที สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 500 กิโลกรัม ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นระบบขับเคลื่อน และ 4. ระบบเครื่องจักรมองเห็น (Machine Vision) ทำหน้าที่ค้นหาสัญลักษณ์เพื่อประเมินผลคุณลักษณะของวัตถุภายในพื้นที่ โดยระบบจะจดจำวัตถุและออกคำสั่งการเคลื่อนที่ตามที่บันทึกไว้หรืออ่านคำสั่งด้วยรหัสบาร์โค้ด