สหภาพยุโรป (EU) เตรียมออกกฎหมายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ เพื่อให้ EU บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2573 ตามนโยบาย European Green Deal
นายธัชชญาน์พล อภิมนต์เตชบุตร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมการค้า
ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 คณะมนตรียุโรปและรัฐสภายุโรปได้จัดทำความตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับกฎหมายสภาพภูมิอากาศของ EU ในการเพิ่มเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากเดิม ร้อยละ 40 เป็น อย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2573 เพื่อให้ภาคธุรกิจและพลเมืองยุโรปเตรียมความพร้อมการดำเนินการที่จำเป็นที่เกี่ยวข้อง โดยจะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย หลังจากที่ความตกลงชั่วคราวผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุขและด้านความปลอดภัยอาหาร และได้รับการอนุมัติจากรัฐสภายุโรปและคณะมนตรียุโรป ทั้งนี้ ความตกลงชั่วคราวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี 2573 โดยจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 225 ล้านตัน
2. การปรับปรุงกฎระเบียบการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและป่าไม้ (Land use and forestry regulation: LULUCF) ปี 2564 – 2573 เพื่อเพิ่มแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon sink) ให้มากกว่า 300 ล้านตัน ซึ่งจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปี 2573 ได้ถึงร้อยละ 57 โดยคณะกรรมาธิการยุโรปจะเสนอกฎหมายเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ที่ดินในเดือนมิถุนายน 2564
3. การจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์แห่งยุโรปเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ และรายงานเกี่ยวกับมาตรการของ EU รวมถึงกำหนดเป้าหมายด้านสภาพอากาศให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายสภาพภูมิอากาศของ EU
4. การกำหนดบทบัญญัติของกฎหมายสภาพภูมิอากาศให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับนโยบายต่างๆ ของ EU
5. การบูรณาการกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทำแผนงานแบบสมัครใจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ความเป็นกลางด้านสภาพอากาศของ EU
นายธัชชญาน์พลฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า EU ได้ผลักดันการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในเวทีความร่วมมือระดับนานาชาติและระดับทวิภาคีกับประเทศที่สามผ่านการทำความตกลงการค้าและการค้าสินค้าอย่างมาก เนื่องจากเล็งเห็นว่าการปฏิบัติที่ดีด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยิ่งยืน ทั้งนี้ EU เป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย โดยไทยมีมูลค่าการค้ากับ EU เฉลี่ยปีละ 724,436.7 ล้านบาท (ปี 2561 – 2563) ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ทำการค้ากับ EU ควรติดตามการออกกฎหมายด้านสภาพอากาศของ EU อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมความพร้อมหาก EU นำมาเป็นข้อกำหนดด้านมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีกับประเทศคู่ค้าในอนาคต โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://ec.europa.eu/commission/presscorner/detail/en/ip_