“สุริยะ”สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งประสานโรงงานในกำกับทำแบบประเมินตนเองผ่าน Platform online ตามมาตรการ Good Factory Practice (GFP) เพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงงาน และลดความรุนแรงของการระบาดโดยควบคุมไม่ให้แพร่กระจายสู่ชุมชนในวงกว้าง ด้าน กรอ.รับลูกกำชับโรงงานในกำกับเร่งประเมินตนเองผ่าน Thai Stop Covid Plus และ Thai Save Thai เล็งกลุ่มแรกโรงงานที่มีคนงานตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป พร้อมเผยแผนรับมือโควิด-19 สำหรับสถานประกอบกิจการ (Business Continuity Plan : BCP)
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์แพร่ระบาด ของโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของภาคเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการ รับมือกับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงฯ ดูแลขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จึงได้กำชับ ไปยัง กรอ.ให้เร่งประชาสัมพันธ์พร้อมขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ประเมินตนเองผ่านแบบประเมินตนเอง Thai Stop Covid plus และ Thai Save Thai ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2564
“ผมได้สั่งการให้ กรอ.เร่งสำรวจตัวเลขพร้อมทั้งกำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมร่วมทำแบบประเมินตนเอง Thai Stop COVID Plus (Good factory Practice, GFP) และ Thai Save Thai ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาขึ้น โดยแพลตฟอร์มแนะนำด้านสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดฯ แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ ผู้ปฏิบัติงาน และแนวทางการปฏิบัติกรณีพบ ผู้ติดเชื้อซึ่งผู้ประกอบการต้องประเมินตนเองอย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์ ขณะที่พนักงานก็ต้องประเมินตนเอง ผ่านแพลตฟอร์ม Thai Save Thai ก่อนเข้าโรงงาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงไม่ให้มีการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ”นายสุริยะฯ กล่าว
ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรอ.ได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในการคัดเลือกโรงงานเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีจำนวนคนงานมากกว่า 200 คน ซึ่งมีจำนวน 278 โรงงาน จำแนกเป็นโรงงานที่มีคนงาน 200 – 500 คน จำนวน 206 โรง โรงงานที่มีคนงาน 500 – 1,000 คน จำนวน 40 โรง และโรงงานที่มีคนงานมากกว่า 1,000 คน จำนวน 32 โรง เป็นโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหารหรือแปรรูปอาหาร โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และโรงงานอื่นๆ
“หลังวันที่ 15 มิถุนายน กลุ่มเป้าหมายแรกที่ กรอ. ร่วมกับ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบ จำนวน 40 โรงงานโดยคัดเลือกจากโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง และโรงงานที่มีความแออัดในพื้นที่ปฏิบัติงานก่อน โดยเป็นโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหาร หรือการแปรรูปอาหารทุกขนาด จำนวน 12 โรง และโรงงานที่มีความแออัดเนื่องจากมีจำนวนคนงานมากกว่า 1,000 คน จำนวน 28 โรง”นายประกอบฯ กล่าว
และนอกจากการทำแบบประเมินดังกล่าวแล้ว ทางกรอ.ยังได้จัดทำคู่มือแนวปฏิบัติแผนรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับสถานประกอบกิจการ (Business Continuity Plan : BCP) เพื่อให้แต่ละโรงงานเตรียมรับมือและเตรียมความพร้อมในการประคองกิจการให้สามารถประกอบกิจการต่อไปได้แม้ในยามวิกฤตหรือฉุกเฉิน โดยการกำหนดแนวทาง ดังนี้ 1.จัดตั้งทีมบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Plan Team) โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 1 คน เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจ 2.ระบุวิกฤติหรือเหตุฉุกเฉินและผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการ อย่างน้อย 5 มิติ อาทิ อาคารและสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีและข้อมูลสำคัญ บุคลากรและทรัพยากรทางการเงิน และคู่ค้า/ผู้ให้บริการ/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3.วางกลยุทธ์ความต่อเนื่องทางธุรกิจเพื่อเป็นแนวทางจัดหาและบริหารทรัพยากรให้มีความพร้อมเมื่อเกิดวิกฤต และ4. ฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแผนบริหารความต่อเนื่อง โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรฝึกซ้อมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้พนักงานมีความพร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่เสมอ รวมถึงปรับปรุงแผนการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ ให้ทันสมัยและสามารถรองรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น