นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ประเด็นการดูแลประชาชน หลังที่ประชุม ศบค.มีมติล็อกดาวน์พื้นที่ควบคุม 10 จังหวัด ณ ศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ธรรมเกษตรไร่ภูตะวันออร์แกนิคฟาร์ม จังหวัดอํานาจเจริญ ว่า ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามทั้งปริมาณและความต้องการสินค้าต่างๆ ถ้าเกี่ยวกับการกักตุน หากพบผู้ทำผิดกฏหมายก็จะดำเนินคดีเพราะถือว่ามาซ้ำเติมสถานการณ์ที่พี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนแล้วต้องมาเจอการเอารัดเอาเปรียบ หรือค้ากำไรเกินควร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องได้สั่งการไปแล้ว ประชาชนสามารถร้องเรียนมาได้ที่ สายด่วน 1569 ได้ ซึ่งจะมีผู้รับสายและในช่วงนอกเวลาทำการจะมีการเก็บข้อมูลไว้ตอนเช้าจะมาสั่งการและดำเนินการให้ทันที
นายจุรินทร์กล่าวว่า กรณีมติ ศบค.ที่จะล็อกดาวน์ 10 จังหวัดจะมีกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 6 จังหวัด จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 4 จังหวัด ทางกระทรวงพาณิชย์จะจัดขบวนรถโมบายจำหน่ายสินค้าราคาถูกเป็นกรณีพิเศษเพื่อเข้าไปใน 10 จังหวัด จำนวน 300 คัน จะกระจายทันทีเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม และจนกว่าจะจบการล็อกดาวน์ โดยสินค้าที่จะนำไปจำหน่ายในรถโมบายนอกจากสินค้าทั่วไปราคาพิเศษแล้วจะมีสินค้าพิเศษ เช่น ข้าวสารราคาถูก น้ำตาล ปลากระป๋อง น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันโควิด เช่น หน้ากากอนามัยราคาพิเศษ เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ และสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโควิด โดยจะทำราคาให้ถูกที่สุดและลงไปช่วยลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนในจังหวัดที่มีการล็อกดาวน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้านนายอาวุธ วงศ์สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลได้ยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 โดยขอให้ประชาชนลดการเดินทางและให้ทำงานที่บ้าน (WFH) ให้มากที่สุด ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมการค้าภายในออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ปริมาณและราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ หน้ากากอนามัย หน้ากากทางเลือก เจลแอลกอฮอล์ และสินค้าเวชภัณฑ์ต่างๆ ให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนและป้องปรามไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาส และต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน รวมทั้งการตรวจสอบเครื่องชั่งน้ำหนักสินค้าให้มีความเที่ยงตรง
โดยส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบในห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ตลาดสด และร้านค้าทั่วไป เป็นประจำทุกวัน ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จากการตรวจสอบภาพรวม พบว่า ขณะนี้สินค้ายังคงมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ซึ่งผู้ผลิตสินค้ายืนยันว่าสามารถขนส่งสินค้าให้กับผู้จำหน่ายได้ปกติ แม้ในช่วงนี้อาจจะมีประชาชนมีปริมาณการซื้อสินค้าแต่ละครั้งเพิ่มขึ้นบ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไร จึงขอให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องกักตุนสินค้า สำหรับในส่วนของต่างจังหวัดได้มอบหมายให้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดติดตามเพื่อกำกับดูแลมิให้มีการเอารัดเอาเปรียบประชาชน นอกจากนี้ เพื่อช่วย ลดค่าครองชีพประชาชน และลดความเสี่ยงจากการเดินทางไปจับจ่ายใช้สอยให้แก่ประชาชน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ยังได้มีรถโมบายพาณิชย์ ลดราคา ช่วยประชาชน ออกจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภคราคาพิเศษบริการประชาชนถึงชุมชนกว่า 1,000 คัน ทั่วประเทศ
นายอาวุธกล่าวว่า ขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการปิดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน และห้ามฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าโดยเด็ดขาด หากตรวจพบจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีไม่ติดป้ายแสดงราคาจะมีโทษ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีที่มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร กักตุนสินค้าหรือปฏิเสธการจำหน่าย ต้องโทษจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากตรวจเครื่องชั่งน้ำหนักที่มีการดัดแปลงแก้ไขเครื่องชั่งน้ำหนักจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท หรือกรณีที่ทำให้เครื่องชั่งมีน้ำหนักคลาดเคลื่อน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 120,000 บาท หรือกรณีที่พบว่าใช้เครื่องชั่งที่มีค่าน้ำหนักคลาดเคลื่อนเกินกว่าที่กำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายสินค้า หรือบริการแจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด