“อมตะ” มองมาตรการล็อคดาวน์ล่าสุดของภาครัฐส่งผลกระทบแค่ระยะสั้นๆ นักลงทุนต่างชาติเข้าใจสถานการณ์เพราะหากปล่อยไปจนควบคุมไม่ได้จะกระทบความเชื่อมั่นมากกว่าและประเทศอื่นๆทั่วโลกก็ดำเนินการเช่นเดียวกัน ย้ำแต่การแก้ไขที่ตรงจุดคือการเร่งกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ก่อนเดินหน้าการเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนศก
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ ประกาศยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยมาตรการล็อคดาวน์ และเคอร์ฟิว พื้นที่รวม 10 จังหวัดรวม 14 วัน นับเป็นมาตรการที่จำเป็นภายใต้สถานการณ์ที่ไทยมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ในอัตราสูงเฉลี่ยที่ใกล้ระดับ 10,000 คนต่อวัน และมีผู้ที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดให้เร็วสุดก่อนที่จะกระทบต่อการบริการด้านสาธารณสุขทั้งระบบจนไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวกระทบระยะสั้นเท่านั้นและในสายตานักลงทุนต่างชาติเข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
“ผมคิดว่าทุกส่วนยอมรับได้ถึงมาตรการที่เข้มข้นของรัฐบาลดังกล่าว โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ เพราะแม้แต่ประเทศที่เจริญแล้ว ยังประสบปัญหาการแพร่ระบาดและต้องใช้วิธีล็อคดาวน์ด้วยเช่นกัน แต่ตรงกันข้ามหากไทยยังปล่อยให้มียอดการแพร่ระบาด และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นมากกว่า” นายวิบูลย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดมากสุดคือต้องมีการบริหารจัดการด้านวัคซีนทั้งระบบ ทั้งในเรื่องการจัดหาวัคซีน แผนการกระจายวัคซีน ให้ถึงมือประชาชนให้ได้เร็วที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมจำนวนประชากร 70% ของประเทศเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ควบคู่ไปด้วย ซึ่งล่าสุดทราบว่ารัฐบาลได้มีการอนุมัตินำเข้าวัคซีนมาหลากหลายยี่ห้อแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกันภาคประชาชนเองจำเป็นต้องร่วมมือในการป้องกันดูแลตนเองไม่ให้การ์ดตกด้วยเช่นกันเพื่อให้มาตรการรัฐที่ออกมาครั้งนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นายวิบูลย์กล่าวว่า มาตรการยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือ การประกาศล็อคดาวน์ในพื้นที่เสี่ยงสูงสุด ถือว่าเป็นมาตรการที่รัฐต้องดำเนินการให้ประสบความสำเร็จก่อนที่จะเดินไปสู่เป้าหมายการเปิดประเทศ 120 วัน ไม่เช่นนั้นแล้ว โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นการจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ ขึ้นอยู่กับการเดินทางของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ที่จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมา อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ(GDP)ของไทย เฉลี่ยติดลบกว่า 2% ขณะที่เวียดนาม มีอัตราการเติบโตกว่า 6% หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะส่งผลกระทบต่อเนื่องในทุกระบบ และทุกโครงสร้างทางสังคมไม่เพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ พื้นที่นิคมฯอมตะ ซิตี้ ชลบุรี ได้จัดพื้นที่ให้ เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนของระบบประกันสังคมที่ได้เริ่มดำเนินการฉีดให้พนักงานในโรงงานไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในกลุ่มโรงงาน และป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่นิคมฯ