ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ท้องถิ่นไทย ย้อนกลับ
แม่ทัพภาคที่ 3 ติดตามสถานการณ์ควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่นพื้นที่ภาคเหนือ ย้ำประสานงานทุกฝ่ายปราบปรามให้สิ้นซาก รวมทั้งผู้มีอิทธิพลด้วย
08 ธ.ค. 2559

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองกำลังผาเมือง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ผู้บัญชาการกองบัญชาการเฉพาะกิจ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 (ผบ.ฉก.ศป.ปส.ทภ.3) เป็นประธานการแถลงแผนการควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่น ประจำปี 2560 ร่วมกับ พล.ต.ต.พูนทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ รรท.ผบช.ภ.5, พล.ต.จิรเดช กมลเพ็ชร ผบ.กกล.ผาเมือง, นายพิภพ ชำนิวิกัยพงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

         ทั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบสถานการณ์ และแนวโน้มของสถานการณ์การลักลอบปลูกฝิ่นในพื้นที่ภาคเหนือ ประจำปีงบประมาณ 2560 รวมถึงข้อมูลพื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่นซึ่งได้ดำเนินการสำรวจโดยสถาบันสำรวจ และติดตามการปลูกพืชเสพติด และแนวทางการดำเนินการตามแผนการควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่น และการตัดทำลายไร่ฝิ่น ประจำปี 2560 ของกองทัพภาคที่ 3 และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 รวมทั้งได้ร่วมพิจารณาให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติ เพื่อให้การดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการปลูกพืชเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือบังเกิดผลสำเร็จสูงสุดตามวัตถุประสงค์

         แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 3 และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 ได้ให้ความสำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อสนองตอบนโยบาย และแนวทางการดำเนินงานด้านยาเสพติดของรัฐบาล ตลอดจนเป็นการหยุดยั้งการขยายตัวของปัญหา และลดระดับความรุนแรงของปัญหาลงตามลำดับ โดยในห้วงที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 3 และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 ได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติงานจากหน่วยงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดียิ่ง ส่งผลให้การปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ทุกประการ

         สำหรับสถานการณ์การลักลอบปลูกฝิ่น แต่เดิมตั้งแต่กองทัพภาคที่ 3 ได้เริ่มก่อตั้งโครงการเมื่อปี 2554-2555 มีพื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่นเกือบ 60,000 ไร่ ผลจากการดำเนินโครงการ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวลดลงมาเป็นลำดับ สถิติย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ ปี 2556-2558 คงเหลือพื้นที่ปลูกประมาณ 1,700-1,800 ไร่เศษ

         ปัจจุบันสถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติดได้ตรวจพบพื้นที่ที่มีการลักลอบปลูกฝิ่นแล้ว จำนวน 8 หน่วยพื้นที่สูง (Highland Unit) ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ พล.ร.7 ได้แก่ พื้นที่ดอยนาง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จำนวน 54 แปลง 52.76 ไร่เศษ, พื้นที่ม่อนอังเกตุ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จำนวน 20 แปลง 12.93 ไร่, พื้นที่แม่ยะ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จำนวน 27 แปลง 19.45 ไร่เศษ, พื้นที่ดอยผาแดง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จำนวน 92 แปลง 72.42 ไร่เศษ

         ขณะที่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ ฝทพ.ศปก.ทภ.3 ได้แก่ พื้นที่ห้วยทรายเหลือง-แม่สะต๊อบ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จำนวน 35 แปลง 24.04 ไร่ ,พื้นที่แปเปอร์-นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จำนวน 627 แปลง 390.75 ไร่เศษ, พื้นที่ท่าสองยาง-ปิตุคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก จำนวน 396 แปลง 370.01 ไร่ และพื้นที่ห้วยน้ำเย็น-ทุ่งต้นงิ้ว จำนวน 268 แปลง 227.28 ไร่ รวมทั้งหมด 1,519 แปลง 1,169.14 ไร่ แสดงให้เห็นว่า การดำเนินโครงการมีผลสัมฤทธิ์ที่น่าพอใจ

         อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 30 ปี การลักลอบปลูกฝิ่นยังคงมีแนวโน้มจะคงอยู่ต่อไป ดังนั้นเราจะต้องร่วมมือกันทำงานด้วยความเข้มแข็งและใกล้ชิดต่อไป เพื่อให้ภูมิภาคนี้ปราศจากพื้นที่ปลูกฝิ่นหรือพืชเสพติดชนิดอื่น และพี่น้องราษฎรบนพื้นที่สูงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้มีพระราชดำริให้ก่อตั้งโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหา และบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวไทยภูเขา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา

         จากการประชุมในวันนี้ได้ตกผลึกความคิดเห็นแนวทางในการปฏิบัติการ 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ 1. การตัดทำลายไร่ฝิ่น จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพื้นที่เพ่งเล็ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เช่น อ.อมก๋อย อ.เชียงดาว และ อ.แม่แตง พร้อมกับ 2. คือให้มาตรการเข้มข้นทางกฎหมายดำเนินการกับผู้ที่เป็นนายทุน และ 3. คือมีการเปิดประเด็นโต๊ะข่าวในหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลในการปลูกฝิ่นโดยอาศัยชาวเขาผู้บริสุทธิ์ ปลูกฝิ่นแทนตนเอง

         นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติโดยเน้นการบูรณาการด้านการข่าวจากทุกภาคส่วน เพื่อสืบสภาพพื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่น และกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมายเพื่อตัดทำลายควบคู่ไปกับ มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น และการประชาสัมพันธ์ ถึงโทษของการปลูกพืชเสพติด การเสพ การค้ายาเสพติด ทั้งต่อสุขภาพของตนเอง ครอบครัว ลูกหลาน ตลอดจนชุมชนและประเทศชาติ รวมถึงโทษทางกฎหมายบ้านเมือง โดยใช้สื่อทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะสถานีวิทยุชุมชน และสถานีวิทยุกระจายเสียงแรงส่งสูง ซึ่งมีอยู่เกือบทุกชุมชน

         รวมถึงการสื่อสารในเรื่องดังกล่าว ในทุกโอกาสที่มีการจัดหรือทำกิจกรรมกลุ่มย่อย หรือกลุ่มขนาดใหญ่ก็ตาม เช่น การประชุมในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ การร่วมประเพณีทางความเชื่อ ทางศาสนา หรือ การร่วมกิจกรรมในวันสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์หรือของชาติ ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด รวมถึงการบูรณาการ และการประสานการปฏิบัติโดยใกล้ชิดระหว่างตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายปกครองจะทำให้การดำเนินการได้ผลเป็นรูปธรรมมากที่สุดเนื่องจาก ทั้ง 3 องค์กรนี้อยู่ใกล้ชิดกับราษฎรในพื้นที่ตลอดเวลา

         ด้านนายพิภพ ชำนิวิกัยพงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่า ในช่วงหลังพบว่า วิถีการปลูกฝิ่นพบว่า ใช้รูปแบบการปลูกชิดร่องธารน้ำ หรือลงไปไปปลูกในร่องน้ำมากขึ้น ทำให้ขยายเวลาสามารถปลูกยาวไปจนถึงช่วงหน้าร้อนได้ ระยะเวลาการตัดทำลายก็จะยาวมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีการลดขนาดแปลงเล็กลง ทำให้สังเกตจากระยะไกลได้ยาก แต่เชื่อว่ามาตรการตัดทำลายในปีนี้จะสามารถปฏิบัติการได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา

         ปัจจุบันในพื้นที่ประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่เป็นการปลูกเพื่อค้าให้ผู้เสพในพื้นที่ โดยจากการตรวจสอบพบว่ายังมีผู้ติดฝิ่นอยู่อีกจำนวนมากในพื้นที่ อ.อมก๋อยและ อ.แม่แจ่ม การค้าปลีกฝิ่น เม็ดเล็กเท่าหัวไม้ขีดก็มีราคาสูงถึง 200 บาท ทำให้นายทุนในพื้นที่ยังมีการแสวงกำไรและลักลอบปลูกและค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้จะต้องกำจัดเริ่มที่ต้นตอคือนายทุน ก่อนจะพาตัวผู้ติดฝิ่นมาบำบัด เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว

         อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้มีกฎหมายรองรับหลายข้อ รวมทั้งคำสั่งของ คสช. คนปลูกฝิ่นส่วนใหญ่ปลูกในพื้นที่สูง ที่เรียกว่า ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ ซึ่งข้อกฎหมายป่าไม้ก็เอื้อเปิดช่องให้สามารถดำเนินคดีได้เต็มที่ รวมไปถึงด้านนายทุน ผู้จ้างวานให้ผู้อื่นทำสิ่งที่ชั่วร้าย จะนับเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลทันที และใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินคดีอย่างเข้มข้น

         ในส่วนเรื่องของผู้มีอิทธิพลอื่นนอกจากเรื่องของยาเสพติดตั้งทางแม่ทัพภาคที่ 3 ย้ำว่า ปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวแห่ขึ้นมาสัมผัสอากาศหนาว และท่องเที่ยวทางเหนือมากกว่าทุกปี ทางนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำเรื่องของความปลอดภัยนักท่องเที่ยวทุกด้านโดยเฉพาะเรื่องของผู้มีอิทธิพล ได้สั่งการให้ทางสำนักงานตำรวจภุธรภาค 5 เอกซเรย์ผู้มีอิทธิพลให้พร้อมรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนได้ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย และสบายใจ ส่วนผู้ที่อ้างอิทธิพลของข้าราชการทหารหรือตำรวจนั้นเชื่อว่าไม่มีเป็นเพียงผู้ที่แอบอ้างเท่านั้นเชื่อว่าในพื้นที่ภาคเหนือจะมีมีเรื่องผู้มีอิทธิพลอย่างแน่นอน

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...