นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมาที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ซึ่งเป็นแกนนำจัดกิจกรรม Car Mob เมื่อวันที่ 1 ส.ค.64 และกิจกรรม Car Park เมื่อวันที่ 15 ส.ค.64 ที่ผ่านมา โดยมีฐานความผิดหลายข้อหา อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองนั้น
การกระทำดังกล่าวเริ่มต้นที่สี่แยกราชประสงค์ ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนไปยังพื้นที่ต่างๆ อันเป็นการกีดขวางทางสัญจรของประชาชน มีการปราศรัย ผ่านเครื่องขยายเสียง ซึ่งมีแนวร่วมส่งเสียง บีบแตรยานยนต์ ส่งเสียงโหวกเวก เป็นที่เบื่อหน่าย สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนและสาธารณะ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ เป็นพฤติการณ์ที่ไม่ย่ำเกรงกฎหมายของบ้านเมือง ทั้งๆที่นายณัฐวุฒิเคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล ควรที่จะมีสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง รู้ชอบชั่วดี แยกผิด แยกถูกได้ แต่กลับมาเป็นแกนนำสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง
ทั้งนี้ การกระทำของนายณัฐวุฒิ มีหลายกระทงความผิดด้วยกัน อาทิ ความผิดฐานฝ่าฝืน มาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง, ความผิดฐานฝ่าฝืน หรือการกระทำใดๆ ซึ่งอาจก่อสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ที่เป็นเหตุให้เกิดโรคติดต่ออันตรายหรือโรคแพร่ระบาดออกไป ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.215 ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกไปแล้วไม่เลิก ตาม ม.216, ความผิดฐานกีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522, ความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องขยายเสียงฯ 2493 และยังเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.83 ในฐานะเป็นตัวการที่ร่วมกระทำความผิดกับบุคลลอื่นๆ ที่มาร่วมคาร์ม็อบ-คาร์ปาร์ค และความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายกระทงความ
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงไม่อาจปล่อยให้ นายณัฐวุฒิ ย่ามใจในการจัดกิจกรรมในลักษณะปั่นป่วนสังคมดังกล่าวต่อไปอีกได้ จึงนำความพร้อมพยานหลักฐานมาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินการสอบสวนเอาผิดและดำเนินคดีตามครรลองของกฎหมาย และส่งอัยการฟ้องศาลพิพากษาลงโทษขั้นสูงสุดอย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อสังคมต่อไป