นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยภายหลังจากการประชุม กกพ. ว่า กกพ. ได้พิจารณาผลการคำนวณค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในงวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 60 ซึ่งอยู่ที่ -41.09 สตางค์ต่อหน่วย ลดลงจากที่เรียกเก็บในงวดที่แล้ว 7.80 สตางค์ต่อหน่วย สวนทางกับที่คาดการณ์ในการพิจารณาค่าเอฟทีครั้งก่อนที่คาดว่าจะปรับขึ้นมาอย่างมาก เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าหลายแห่งจากทั้งเอกชนและต่างประเทศหยุดซ่อมบำรุงนอกแผน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (Available Payment: AP) ให้กับโรงไฟฟ้าลดลง แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าและราคาก๊าซธรรมชาติในปีหน้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน รวมกับการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานาในประเทศพม่าที่ต้องหาเชื้อเพลิงอื่นมาทดแทน จึงคาดว่าค่าเอฟทีในงวด พ.ค. – ส.ค. 60 จะปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น กกพ. จึงมีมติให้ปรับค่าเอฟทีในงวด ม.ค.- เม.ย. 60 ลดลง 4.00 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าเอฟทีอยู่ที่ -37.29 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อลดภาระแก่ผู้บริโภคในช่วงปีใหม่ ในขณะเดียวกันก็สะสมเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า
สถานการณ์ค่าเอฟทีในส่วนของเชื้อเพลิงในงวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 60 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนโดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปรับลดค่าเอฟทีในงวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 60 นี้ คือ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 6 บาทต่อล้านบีทียู รวมทั้งราคาน้ำมันเตาก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ในการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ FiT ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากจะมีการเข้ามาของโรงไฟฟ้าพลังงานลมของ SPP ที่เลื่อนการจ่ายไฟฟ้ามาจากงวดก่อน